การเดินทางที่แสนสนุก คลุกเคล้าประสบการณ์ใหม่ทุกย่างก้าว
การวางแผนเดินทางใช้เวลาไม่นานก่อนเดินทางจริง ใช้เวลางงๆ และวางแผนคร่าวๆ จากนั้นก็เตรียมพร้อมแลกเงินเลย (แนะนำให้แลกแบงก์ใหญ่ไป แล้วแตกแบงก์ย่อยที่สนามบินฟิลิปปิน จะได้เงินที่ใหม่สด และไม่ต้องแบกเยอะด้วย) วันที่แลกเงินได้ 1 peso = 0.7450 บาทไทย และคนไทยเดินทางได้เลย ไม่ต้องใช้วีซ่า อยู่ได้ไม่เกิน 30 วัน คนที่นั่นใช้ภาษาอังกฤษได้ดี
วันที่ 1 : เดินทางสู่ Cebu
ใช้บริการสายการบิน Cebu Pacific Airlines เพื่อไป สนามบิน Manila, Philippine และไปต่อเครื่องลง Cebu ซึ่งตอนออกจากสนามบินไทยไป ดูจะไม่มีปัญหาอะไร การบริการ การเดินทางปลอดภัยแต่ แต่เมื่อถึงมะนิลาแล้ว เกิดความงงขึ้นคือต้องไปหยิบกระเป๋าก่อนแล้วค่อยไป "ส่งมอบ" กระเป๋าที่ช่อง Transfer แทนที่จะโหลดกระเป๋าตรงไปที่ Cebu เลย ... แต่เนื่องจากป้าย Transfer เล็กนิดนึง และมีพนักงานเล่นโทรศัพท์อยู่จึงไม่รู้ว่าเค้าบริการตรงไหนอย่างไร แต่เมื่อได้สอบถามก้อถึงบางอ้อตรงนี้นี่เอง
หลังจากนั้น ก็เดินออกมาหาไรกิน และแวะซื้อซิมการ์ดเพื่อเล่นเน็ตได้อย่างเต็มที่ (แนะนำ Globe & Smart โดยทั้งสองเครือข่ายนี้โอเค ซึ่ง Smart 1,000 peso and Globe 550 peso สำหรับเล่นเน็ต 7 วัน และโทรได้ 6 นาทีถ้วน) ... ในช่วงนี้ลองแตกแบงก์ 1,000 peso ให้เป็นแบงก์ย่อย 20, 50 peso (ใช้สำหรับการจ่ายค่าเดินทาง, ค่าแท๊กซี่, ค่าอาหารท้องถิ่น)
เมื่อดำเนินพิธีกรรมทางการเงินและกินอาหารรองท้องแล้ว ก้อไปรอที่ห้อง บขส. (บินขนส่ง) ไป Cebu... แต่เนื่องจากการบริหารจัดการสายการบินของ Cebu Pacific ค่อนข้างจะมีกิตติศัพท์ทางด้านดีเลย์ เราจึงได้สัมผัสว่าสายการบินนี้เป็นไปตามที่เค้าร่ำลืมจิงๆ ซึ่งในระหว่างนั่งรอเครื่องบินดีเลย์นั้น ก้อมีเหตุการณ์เบาะแว้งเล็กน้อยเนื่องจากจะมีการยกเลิกเที่ยวบินกระทันหัน เลยมีเหตุชุลมุนเสียงดังโช้งเช้งให้พอสนุกสนาน หลังจากนั้นอีกสองชั่วโมงเราก้อได้ขึ้นเครื่องตรงไปยังเมือง Cebu (สรุปว่าผิดแผนไปเล็กน้อยซึ่งตามแผนจะต้องถึงเมืองตอน 5 โมงเย็น แต่เครื่องดีเลย์ทำให้ถึงเมืองตอนสามทุ่ม)
เมื่อถึง Cebu แล้วมีทางเดียวที่จะเข้าเมืองคือแท๊กซี่ (เค้าจะเขียนว่า Flag down 70 peso แปลว่าต้องเสียค่าธรรมเนียมให้เค้านะ และคนโบกแท๊กซี่จะเรียกทิปจากเราด้วย ให้ไป 20 peso) แล้วก้อวิ่งยาวมาถึงโรงแรมเลย (พักที่ Marriot, Cebu) พอถึงโรงแรมก็ทำการเจรจากับ พนง. ว่าจะฝากกระเป๋าไว้เพราะจะต้องออกจากโรงแรมไปขึ้นรถที่ South Bus Terminal ตอนตีสองเพื่อจะไปดำน้ำดูปลาฉลามวาฬที่ Oslob ตอนเช้า
วันที่ 2 : เดินทางสู่ Oslob
ออกจากโรงแรมตอนตี 1 ตรงไปที่ South Bus Terminal ไปขึ้นรถบัสตอนตี 2 เพื่อให้ไปถึงที่ Oslob ตอนตี 5 - 6 โมงเช้า (แล้วแต่ความหวานเย็นของรถบัส)
เมื่อไปถึง South Bus Terminal แล้ว ให้หารถสีเหลือง (แนะนำให้เป็นรถปรับอากาศของ Ceres bus or Sunrays ก้อได้) ที่เขียนป้ายด้านหน้าว่า 'Bato Oslob' or 'Oslob Sanborn' ให้แจ้งคนเก็บตังว่าไป *ชื่อรีสอร์ท* และ *บริเวณที่รีสอร์ทนั้นอยู่* (ในกรณีของเราแจ้งว่าไป Cancuay, Tanawan, Seafari resort) หลังจากบอกสถานที่ตั้งแล้วก้อจ่ายเงินค่าตั๋วคนละ 155 peso/oneway ticket แล้วก้อนอนขโยกไปประมาณ 3-4 ชั่วโมง ในระหว่างนั้นไม่ต้องแปลกใจถ้าจะมีใครเอาตูดมาเกยไหล่ เพราะตลอดระยะทางเค้าจอดรับคน (ซึ่งไม่แน่ใจว่ามึงจะมีคนมาโบกตอนตีหนึ่งได้งัย แต่มันมีจริงๆ)
เมื่อมาถึงหน้ารีสอร์ท คนเก็บตั๋วก้อจะปลุกเรา (เราพักที่ Seafari ซึ่งตั้งอยู่ก่อนถึงบริเวณ Whale Shark Watching ประมาณ 800 เมตร) ตอนประมาณตี 5 ... แต่ ณ ตอนนั้นมืดมาก มาถึงหน้ารีสอร์ทแล้วไม่มีใครเลย สร้างความหรรษาให้เรามากว่าจะไปเรียกใครได้ตอนนั้น ซึ่งรีสอร์ทในจินตนาการคือเป็นสถานที่ใหญ่โต ต้อนรับแขก 24/7 แต่ที่นี่เป็นรีสอร์ทที่ต้องเดินลงหน้าผาลงไปเพื่อยลโฉมหาดทรายทะเลใส สนุกดีคับ
หลังจากที่หาพนักงานจนเจอแล้วก็รอจึงถึงหกโมงเช้า เก็บข้าวของ และก็ถึงเวลาไปดำน้ำกัน
พนักงานของรีสอร์ทพาเราไปจุดที่ดำน้ำกับปลาฉลามวาฬโดยมอเตอร์ไซค์ (บริการฟรี ทีละ 2 คน เต็มที่) จากรีสอร์ทไปถึงจุดดำน้ำอยู่ไม่ไกล ตอนที่ไปถึงก็ประมาณ 06.30 น. มีนักท่องเที่ยวประมาณ 50-60 คนรอฟังข้อบังคับการลงดำน้ำแล้วประมาณ 10 นาที (เค้าห้ามทาครีมกันแดดนะฮะ ให้ว่ายรอบๆ ฉลามประมาณ 4-5 เมตร)
ฟังบรรยายและข้อห้ามเสร็จ ก็ไปชำระค่าบริการ 1,000 peso/person/30 นาที (ดำน้ำดูฉลามวาฬพร้อมอุปกรณ์ แต่ถ้านั่งบนเรืออย่างเดียวก็ 500 peso) เมื่อจ่ายเงินแล้วก็จะได้ใบเสร็จ ให้นำไปยื่นตรงบริเวณทางลงไปหน้าหาด ซึ่งเค้าจะเรียกชื่อเราและจะพาไปที่เรือที่เตรียมไว้ หลังจากนั้นก็ดื่มด่ำกับการชมฉลามวาฬรอบๆ กายได้ 30 นาที
ประสบการณ์ที่ได้ใกล้ชิด คือ ตื่นเต้นมากๆ
(พนง.พายเรือบางคนใจดี จะดำลงไปถ่ายรูปให้เรา เกือบลืม ถ้าใครไม่มีกล้องถ่ายใต้น้ำมา มีให้เช่าด้วยนะ ค่ากล้อง 550 peso และค่า memory card 500 peso) พอหมดเวลา พนง.ก็จะเรียกทุกคนขึ้นเรือ พายกลับเข้าฝั่ง ถือเป็นประสบการณ์ที่สุดยอดจริงๆ
หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรทำแล้ว ได้รับคำแนะนำจาก พนง.รีสอร์ทว่าให้ไปที่น้ำตกขึ้นชื่อใกล้ๆ ชื่อว่า "Tumalog Waterfall" นั่งมอไซไป 120 peso/person/ไป-กลับ ไปถึงปากทางแล้วต้องเดินลงไปอีกเกือบ 1 โล ซึ่งเป็นทางลาดลง 75 องศา สนุกดี... เดินเข้าไปถึงจะเจอน้ำตกสวยงาม ให้นัดแนะกับคนขับมอไซ เค้าจะกลับมารับที่ปากทาง
ช่วงบ่ายได้ข้อมูลว่าให้เข้าไปชมเมือง Oslob ค่ารถเข้าเมือง 10 peso/person (รถเตี้ยและเบียดเหมือนสองแถวบ้านเรา) และ 30 peso/person (รถใหญ่ติดแอร์) ให้บอกคนขับว่าไปเมือง ในเมืองไม่มีอะไรให้ชื่นชมมาก ขอผ่านรายละเอียดตรงนี้ไปอย่างรวดเร็ว
วันที่ 3 : กลับเมือง Cebu
ด้วยความที่ดำน้ำวันแรกยังไม่สะใจ จึงไปดำน้ำใหม่อีกรอบ หลังจากนั้นก็เก็บของเตรียมตัวกลับเข้าเมือง Cebu อีกครั้ง ตอนกลับก้อต้องโบกรถบัสสีเหลืองกลับเข้าเมือง ซึ่งวันนี้มีพายุเข้า ฝนตกทั่วเมืองเลย เมื่อถึง South Bus Terminal ต้องใช้บริการแท๊กซี่อย่างเดียว กลับไปที่โรงแรม เนื่องจากไม่รู้ว่ารถจิ๊บนี่สายไหนผ่านโรงแรมบ้าง
เมื่อถึงโรงแรมแล้วก็วางแผนเที่ยว Bohol ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องป่าเขา มีภูเขาเหมือนช้อคโกแล็กเฮอชี่ ชื่อ ช้อคโกแล็ตฮิลล์ นอกจากนั้นก็เป็นการชมสวนผึ้ง ป่าเขาลำเนาไพร โดยเราได้วางแผนซื้อทัวร์มาตั้งแต่อยู่ไทย ต้องเสียค่าจองก่อน 1000 peso via paypal เป็นค่ามัดจำก่อน และมาจ่ายเพิ่มเติมอีก 4080 peso / 2 persons แต่ยังไม่รวมค่าเรือ (จาก Cebu -> Tagbilaran) 800 peso/ person / trip แนะนำให้ซื้อทัวร์ พร้อมให้เค้าจัดหาตั๋วเรือให้เลย เพราะคนรอซื้อตั๋วเยอะมากและใช้เวลาในการต่อคิวเยอะมาก ซึ่งเราต้องไปถึงที่ท่าเรือ Tagbilaran ก่อน 9 โมงเช้า จะมีแค่รอบเดียวเท่านั้น (แนะนำให้เลือก Ocean Jet ราคาแพงหน่อย แต่ว่าสภาพเรือใหญ่และสบายกว่าเยอะ)
ทำการจองเรียบร้อย ก้อเดินเตร่รอบเมืองและสามารถเดินได้ทุกจุดโดยไม่ต้องอาศัยนั่งรถจิ๊บนี่เลย ที่เราไปเริ่มจากจุดที่ซื้อตั๋วเรือ (Pier 1, Cebu City) -> Fort San Pedro -> Colon Street -> Basilica Minore del Sto. Nino de Cebu -> Cebu Heritage Monument -> Cebu Metropolitan Cathedral โดยบางที่เสียค่าเข้าต้องศึกษากันก่อนเดินเข้าไปนะครับ จบวันด้วยการไปเดินห้างและกินข้าว
วันที่ 4 : เสียดายที่วันนี้เกิดพายุ
ทำให้เรือข้ามฝากไป Bohol ไม่ได้ จำเป็นต้องยกเลิกการเดินทางทั้งหมด เป็นเรื่องน่าปวดหัวมาคือต้องไปต่อแถวเพื่อยกเลิกตั๋วและทำเรื่องคืนเงิน (ที่จ่ายล่วงหน้ามา) และแถวดังกล่าวยาวมากๆ เพราะทุกคนเจอปัญหาเดียวกัน เรายืนรอตรงนั้นประมาณชั่วโมงครึ่ง (ตั้งแต่ 7 โมงเช้า !!) ซึ่งตอนแรกกะจะปล่อยเงินไป แต่คิดไปคิดมาไม่เอาดีกว่า 1600 peso ดูมีมูลค่าเหมือนกัน
หลังจากได้เงินคืนมาแล้ว ก็เดินไปเรื่อยๆ ดูนั่นนี่ ตามข้างทาง เป็นวันว่างที่ไม่ได้อยู่ในแผน ถือโอกาสเดินทางไปเรื่อยๆ ด้วยจิ๊บนี่และหาของกินแปลกๆ ในเมืองด้วย แต่สรุปสุดท้ายก้อไปจบลงที่ร้านอาหารในห้าง
วันที่ 5 : ฉลองปีใหม่ ในเมือง Cebu City
โดยเราวางแผนว่าช่วงกลางวันจะเที่ยวในเมือง และกลางคืนจะไปด๊านซ์ ... สุดท้ายในเมืองเงียบมากได้เแต่เดินชมเมือง นั่งจิ๊บนี่ไปเรื่อยๆ อีกวัน ส่วนตอนเย็นตั้งใจไปร้าน STK Ta Bay (Seafood) ชื่อดังที่ขายอาหารทะเลสดและราคาย่อมเยา เมื่อไปถึงทางร้านบอกว่าวันนี้ปิด ให้บริการแต่ Takeaway (สั่งอาหารกลับบ้านเท่านั้น) ... เป็นปีใหม่ที่เศร้ามากจิงๆ เราตีหน้าเศร้าเล่าเรื่องราวว่าตั้งใจมาร้านนะ ได้โปรดให้เรากินในร้านด้วยเถิด ผลออกมาได้ตามคาดหวัง เค้าให้เราสั่งแบบจุใจและกินหน้าร้าน (แบบปฎิเสธไม่ได้) ซึ่งโดยรวมแล้วอาหารสดดี บริการให้ 9/10 (ให้คะแนนเพิ่มเพราะใจดีให้กินหน้าร้าน) ราคาไม่แพงอย่างที่คิด
เมื่อจบมื้อค่ำไปอย่างอิ่มหนำแล้ว ก็ตรงไปรอหน้าบาร์ชื่อดัง กลายเป็นว่ารอจนถึงห้าทุ่มแล้วยังไม่ค่อยมีคนเที่ยวเลย ... จึงเริ่มมีความสงสัยว่าเราควรกลับไปนอนเค้าดาวน์ที่โรงแรมดีหรือไม่ เมื่อคิดดังนั้นจึงเดินทางกลับ แต่ในระหว่างทางกลับนั้นได้ยินเสียงประทัด ทำให้มีความอยากรู้อยากเห็นว่าปีใหม่คนพื้นเมืองเค้าฉลองอย่างไร ... รวบรวมสติอยู่นานสองนานกว่าจะกล้าเดินเข้าไปในซอยที่มีแสงสว่างจ้าที่สุด สิ่งที่ได้เจอคือ เด็กจุดประทัด กระเทยเดินตาม ผู้คนออกมากินเหล้าหน้าบ้าน และ คาราโอเกะในบ้าน
การเดินในซอยพื้นเมืองนี้ บอกเลยว่าอันตรายมาก ขอให้ระวังไว้ .. สิ่งที่อันตรายคือเค้าเล่นประทัดแบบไม่คำนึงความปลอดภัย แต่ในทางกลับกันที่นี่ไม่มีขโมย (ถึงแม้ว่าลักษณะภายนอกจะต้องระแวงนิดหน่อย)
จบการผจญภัยก่อนปีใหม่แล้ว ก็มุ่งตรงกลับโรงแรมไปเค้าดาวน์ของแท้ ... หลังจากนั้นขึ้นนอนพร้อมเดินทางสู่ Nalusuan Island
วันที่ 6 : เช้าแรกของปีใหม่ 2015
ออกมาหาข้าวกินแต่เช้า แต่ว่าไม่มีใครขายของเลย ต้องเดินตระเวนหาของกิน ... ซึ่งเราออกจากโรงแรมประมาณ 11 โมง เพื่อให้ไปถึงท่าเรือก่อนบ่ายโมง เราบอกแท๊กซี่ไปว่าไป Pedo Resort หรือ Tonggo Marigondo ปรากฎว่าหาท่าเรือไม่เจอ กว่าจะเจอต้องถามคนท้องถิ่น ต้องสังเกตุให้ดี ซื่งท่าขึ้นเรือนี้ ต้องหาตึกสีเหลือ และที่หน้าประตูจะเขียน "Nalusuan Island and Resort Tonggo Wharf" เป็นท่าเรือส่วนตัวเพื่อไปเกาะนี้โดยเฉพาะ และต้องจ่ายค่าแท๊กซี่เพิ่มอีก 50 peso เพราะว่าออกนอกเมืองมาไกลมากจิงๆ ...
แต่เมื่อมาถึงท่าเรือและขึ้นเรือท้องถิ่นขนาดใหญ่ดูตื่นตาสำหรับพวกเราเล็กน้อย ประมาณ 1 ชั่วโมง ... ภาพที่เห็นถือว่าคุ้มมากๆ กับการเดินทางลำบากเล็กน้อยและถือเป็นภาพแรกที่เราเห็นในวันแรกของปี 2015
เมื่อถึงแล้วก็มีคนนำทางไปเช็คอิน เข้าห้อง ซึ่งห้องพักที่นี่มีเพียง 10 ห้องเท่านั้น และสามารถใช้ไฟได้ตั้งแต่ 6 โมงเย็น ถึง 8 โมงเช้าเท่านั้น ... หลังจากเก็บของเรียบร้อยก็เดินสำรวจพื้นที่ (ปล.ถ้าสนใจจะไป snorkeling ต้องเช่าแว่นตากับ snorkel ชุดละ 150 peso/ 2 วัน) ภาพรวมของสถานที่นี้ดีมากๆ บรรยากาศ น้ำทะเล ที่พัก อากาศ ... ดื่มด่ำกับบรรยากาศไปแล้วก้อลงน้ำ สนุกไม่แพ้กันเพราะในทะเลมีปลาดาวแปลกๆ มากมาย
ถึงเวลาอาหารค่ำ ก็มีให้สั่งเป็นชุด (มีให้เลือกไม่มาก) อาหารรู้สึกธรรมดามาก ราคาแพงไปนิดสำหรับรสชาติอาหาร (แต่เข้าใจได้ว่าขายที่รีสอร์ท) รู้สึกเฉยๆ กับอาหาร ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ และสิ่งที่แปลกใจมากๆ คือ ไม่มีคนเข้าพักที่นี่เลย !! ยกเว้นเพื่อนของเจ้าของรีสอร์ท (ที่รู้เพราะว่าคนที่มากินอาหารมี 2 โต๊ะเท่านั้น คือโต๊ะเจ้าของและเพื่อนเจ้าของ และโต๊ะเราเท่านั้น) หลังจากได้หาอ่านข้อมูลพบว่าคนที่มาเกาะนี้โดยมาจะมาทานอาหารกลางวัน เยี่ยมชมเกาะ ดำน้ำ แต่ไม่พักค้างคืน ... ถือเป็นโชคดีของเราที่ได้ความเป็นส่วนตัวม๊าาาก และนี่คือภาพดวงดาวที่เราแหงนหน้ามองขึ้นฟ้ายามค่ำคืน ... มองเท่าไหร่ก้อไม่เบื่อจริงๆ
วันที่ 7 : ต้องกลับละ
เวลาเดินทางเร็วเหลือเกิน ถึงเวลากลับซะละ พวกเราเก็บข้าวของและออกจากเกาะตอนบ่าย กลับมาที่ฝั่ง Cebu City และหาแท๊กซี่ตรงไปสนามบินเลย ... พวกเราถึงสนามบินตรงเวลา เช็คอินเรียบร้อย .. และเริ่มสงสัยว่าสายการบิน Cebu Pacific Airlines มักจะดีเลย์ตลอดเวลาหรือไม่ ... เมื่อค้นหาความจริงคือสายการบินนี้ติดอันดับการดีเลย์มากๆ เกือบ 2 ชั่วโมง สุดท้ายก็เดินทางกลับถึงไทยโดยสวัสดิภาพ
โดยรวมแล้วรู้สึกคุ้มมากกับการเดินทาง 7 วัน 6 คืน กับงบประมาณไม่ถึง 3 หมื่น (28xxx) หากว่าใครสนใจเดินทางไป ก็มาปรึกษากันได้นะครับ
บันทึกการเดินทาง 31/01/2015
ปิ๊กมี่ หลงไปไหน
Comments