แก๊งสามจีนตั้งใจจะไปทริปเข้าป่าไปหากอลิล่า แต่....
จากจุดเริ่มต้นที่แก๊งสามจีนตั้งใจจะไปทริปเข้าป่าไปหากอลิล่า แต่ว่าเก็บเงินกันไม่ทัน เมื่อคุยไป คุยมา ดันมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า ไปคองโกไม่ได้ เราไป แหวกม่านเจงกิสข่าน ขอบฟ้า สายลมและนักรบบนหลังม้า ที่มองโกเลียแล้วกัน
พอได้ลองหาข้อมูลเบื้องต้น พบว่าที่มองโกเลียมีหลายอย่างที่น่าสนใจเหมือนกัน อีกทั้งไปเจองานระบำบูชาเทพของชาวมองโกเลียที่โปรโมทผ่านทาง FB ยิ่งทำให้ทริปนี้น่าสนใจมากขึ้น พร้อมภาพเซตแฟชั่นที่จะไป
แต่พอได้ลองสืบราคาแล้วเกือบถอดใจไม่ไปกัน เพราะว่าเค้าคิดค่าดำเนินการและการเข้าไปในงาน รวมถึงถ่ายรูปส่วนตัวสวยๆ สนราคาที่ 169,000 บาท ต่อ 6 คน (เรามีเพียง 3 คน ดังนั้นจะ จ่ายค่าบริการแพ็คนี้ คนละ 56xxx บาท) WTF !!
จึงลองหาวิธีใหม่โดยติดต่อเอเจนซี่อีกเจ้า ซึ่งปรากฎว่า ราคาต่างกันลิบลับเลย พอให้มีความหวังกลับมา เมื่อได้ลงรายละเอียด ตกลงว่าเราจะไปแบบ 7 วัน 6 คืน โดยจะมีการดูแลค่าใช้จ่ายตัวเองและหาที่พักเอง ผสมอยู่ในกำหนดการทัวร์ด้วย หลังจากได้ที่ตกลงเรื่องกำหนดการทัวร์เรียบร้อย พวกเราเตรียมร่างกายให้แข็งแรงและจัดเสื้อผ้าที่จะไปเดินเฉิดฉายให้ชาวมองโกเลียได้ตะลึงความเป็นไทยของแก๊งสามจีน
การเตรียมตัว
เรื่องที่พักหาไม่ยาก และราคาถูกมาก ส่วนเรื่องอาหารก็เตรียมพร้อมพวกอาหารกระป๋องและอาหารซองเอาไว้ไปทำกับข้าวที่โน่น เผื่อว่าเบื่ออาหารหรือกินไม่ได้ อีกเรื่องที่สำคัญคือการเตรียมเสื้อผ้า ซึ่งเช็คแล้วว่าเป็นฤดูร้อน แต่พยากรณ์อากาศดูเหมือนจะมีทั้งฝน และ หนาวสลับกันไป ตอนแรกก็เตรียมแฟชั่นฤดูร้อนไป แต่คิดอีกทีเผื่อชุดกันหนาวไปดีกว่า ยิ่งอยู่ในช่วงโลกรวนเดาทิศทางอากาศไม่ถูกเลย เรื่องยาหลักๆ ที่ควรเตรียมไปคือ ยาแก้ไข้ แก้ท้องเสีย แก้แพ้ ที่สำคัญ"ยาดม"เผื่อเมารถ และที่นั่นเค้าไม่ใส่หน้ากากแล้ว ดังนั้นเผยผิวได้
วันที่ 1
เมื่อถึงวันเดินทาง เกิดเหตุฉุกละหุกนิดหน่อย หนึ่งในสามจีนหาพาสปอร์ตไม่เจอ แทบพลิกบ้าน ซึ่งกว่าจะหาเจอก็คือใกล้เวลาเดินทางมากๆ แบบใจหาย แบบใช้แต้มบุญไป 32.4% พวกเราใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพถึงมองโกเลียประมาณ 13 ชั่วโมงโดยประมาณ (กรุงเทพไปฮ่องกง 3 ชั่วโมง + รอต่อเครื่องที่ฮ่องกง 5 ชม + ฮ่องกงไปมองโกเลีย 5 ชั่วโมง)
และใช่ฮะ หากว่าเหตุการณ์ดำเนินไปอย่างปกติจะไม่ใช่ทริปของสามจีนแน่นอน รอบนี้เราทั้งสามคนโดน เจ้าหน้าที่ ตม. ที่มองโกเลียไล่ให้ไปทำ visa on arrival ซึ่งจริงๆ แล้ว ไทยเข้ามองโกเลียได้โดยไม่ต้องมีวีซ่า และคราวนี้ก็โดนต้อนๆ เข้าไปในห้อง Immigration เลย
ซึ่งคนในห้องนี้ ก็ทำหน้างงๆ ว่า เข้ามาทำอะไร พอได้พูดคุยแล้วเค้าก็บอกว่า ไทยแลนเดีย ไม่ต้องทำวีซ่าจ้า นี่ก็เริ่มวี๊ดละ กลับไปที่ เจ้าหน้าที่ ตม. อีกครั้ง เค้าทำท่าจะไล่เราไปอีกรอบ นี่ก็เถียงๆ กับ ตม. จนผ่านเข้าประเทศไปได้
หมายเหตุ : ด้วยความที่วี๊ดตรง ตม. ไป จึงลืมที่จะแลกเงิน สกุลเงินมองโกเลีย เรียกว่า ทูริก จะเทียบเท่าเงินไทย คือ 1 บาท = 100 ทูริก หรือคิดให้ง่ายคือ ตัวเลขทูริก ให้ตัดตัวเลขด้านหลังออก 2 ตัว จะเป็นค่าเงินไทยโดยประมาณ
เราถึงที่มองโกเลียประมาณ 17.00 น. (ที่มองโกเลียเวลาเดินเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง) แต่แดดยังแรงอยู่เลย คนขับรถถึงขั้นใส่เสื้อกล้าม การเดินทางใช้เวลาประมาณ 45 นาทีเข้าเมือง ภาพเมืองของมองโกเลียมีความวุ่นวายเหมือน
กรุงเทพ
เมื่อคนขับ ขับไปถึงที่พักที่เราจองไว้ แต่ปรากฎว่า เบอร์โทรศัพท์ที่ให้ไว้ในเวป ไม่สามารถติดต่อได้ จนต้องให้เอเจนหาวิธีติดต่อให้หน่อย (ที่พักนี้ พวกเราจองเอง ซึ่งเราเลือกให้อยู่ใกล้สนามบินเพื่อสะดวกตอนเดินทางกลับ ในขณะเดียวกันก็ไกลเมือง หากว่าจะเข้าเมืองต้องเรียกแท๊กซี่ และคาดว่าจะเจอปัญหาอีกเนื่องจาก ประเทศนี้ไม่พูดภาษาอังกฤษเลย) จนติดต่อได้ (แค่เริ่มก็ปวดหัวแล้ว) รวมถึงเดินทางมายาวนานมีความเพลียสะสม จึงตัดสินใจกินอาหารเย็นที่นี่เลย และออกไปเดินสำรวจรอบๆ ที่พัก
ที่พักที่เราเลือก ราคาถูกมาก (จอง 1 ห้องพัก 2 ห้องนอน พื้นที่กว้างมากกก สำหรับ 3 คน จำนวน 2 วัน ราคา 6,000 บาทไทย ตกคนละ 2,000 บาท) ภายในห้องมีอุปกรณ์ทำครัวครบมาก ภาพรวมถือว่าดีและคุ้มค่ามากๆ แต่ก็มีความตลกๆ คือ เหมือนเค้าเพิ่งสร้างและรีบตกแต่ง เราจึงเห็นผ้าม่านที่หน้าตาสวยงาม แต่ใช้ได้จริงแค่ครึ่งเดียว หรือแม้แต่ผ้ากั้นห้องน้ำ ที่ใช้ได้แค่ครึ่งบน ส่วนครึ่งล่างปล่อยจอยให้น้ำได้สาดกระเซ็นออกมา ขำดี
เรื่องเตือนใจ : ในสังคมของมองโกเลียมีข้อห้ามหลายอย่าง (คงเหมือนกับไทยและอีกหลายประเทศ) หนึ่งในนั้นคือ การยื่น/รับสิ่งของ เวลายื่นควรยื่นให้สองมือ และ รับสองมือเช่นกัน แต่ด้วยความไม่รู้ เรายื่นบัตรเครดิตลักษณะ ”คีบ” ให้กับพนักงาน
คราวนี้พนักงานชักสีหน้าใส่เลย แล้วบอกว่า อย่ายื่นบัตรแบบนี้ ไม่สุภาพ นี่ก็ขอโทษเค้าไป จนต้องไปถามไกด์ท้องถิ่นว่าที่นี่มีข้อห้ามอะไรบ้าง ทำไมสิ่งนี้ถึงไม่สุภาพ ไกด์บอกว่า การยื่นแบบนี้ คือ เป็นลักษณะของการไม่ให้เกียรติ และ เป็นลักษณะของการขโมยสิ่งของ เวลาจิ๊กของจากคนอื่นจะเป็นลักษณะสองนิ้วคีบแบบนี้ ดังนั้น การเดินทางไปต่างถิ่น ลองศึกษาสิ่งที่เป็นข้อห้าม หรือ มารยาทของเมืองนั้นๆ หน่อยก็ดีนะ
วันที่ 2
เรานัดไกด์ท้องถิ่นมาช่วงเช้า และเราก็ไม่เคยเห็นหน้าไกด์มาก่อน จนกว่าจะสื่อสารนัดเจอกันได้ใช้เวลาพักนึง ไกด์สุดหล่อของเราเป็นชาวมองโกเลีย พูดภาษาอังกฤษได้และหน้าตาไม่เหมือนคนมองโกเลียเท่าไหร่ จะออกไปทางจีน เกาหลีซะมากกว่า หลังจากที่เจอกันคุยกันนิดหน่อย แล้วเริ่มเดินทาง
เช้านี้ เราให้ไกด์พาเราไปแลกเงินก่อนอันดับแรก (ได้เงินเป็นปึกเลยจ้า 2 ล้านทูริก)
แล้วไปเริ่มที่แรก พระราชวังฤดูหนาวของ บอกด์ ข่าน (Winter Palace of Bogd Khan) ที่นี่เคยเป็นที่ประทับของ บอกด์ ข่าน กษัตริย์องค์องค์สุดท้ายของมองโกเลีย สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบทิเบต รวมไปถึงบ้านพักที่รัสเซียเคยมาสร้างไว้ให้ ภายในแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ตำหนักเก่าของบอกด์ ข่าน และพระราชินี มีห้องนอนจิ๋วๆ ของทั้งสองท่าน แสดงให้เห็นว่ามีพื้นฐานเป็นคนตัวเล็ก ห้องอื่นๆ เป็นเสื้อผ้าและเครื่องใช้สอยในชีวิตประจำวันต่างๆ และส่วนของวัดในเขตพระราชฐาน เป็นที่วางพระพุทธรูปเก่าแก่ โบราณวัตถุ และภาพจิตรกรรมที่น่าสนใจมากมาย
ต่อด้วย อนุสรณ์สถานแห่งการต่อสู้ไซซาน (Zaisan Memorial) ตั้งอยู่บนยอดเขาไซซาน สร้างขึ้นโดยรัสเซียเพื่อเป็นเกียรติแก่ทหารมองโกเลียที่เข้าร่วมรบกับทหารสหภาพโซเวียตในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนนำไปสู่การปฏิวัติประกาศอิสรภาพของประเทศมองโกเลีย ภาพวาดด้านในป็นเรื่องราวความสัมพันธ์อันดีระหว่างโซเวียตและมองโกเลีย แต่แอบเอ๊ะนิดนึง เดี๋ยวก่อนเทอ เทอชวนเค้ามาช่วยรบ เลยมาสร้างอนุสาวรีย์ของตัวเองในบ้านเมืองเค้า (ได้เหรอ?)
…พวกเราใช้เวลากับที่นี่ไม่นาน ก็แวะกินข้าวเที่ยงที่เป็นเหมือนร้านอาหารรสทำให้พระทาน
จากร้านอาหารนั่งรถต่อไปประมาณ 1 ชั่วโมง ก็ถึงอนุสาวรีย์เจงกิสข่าน (Genghis Khan Equestrian Statue) ตั้งตระหง่านใหญ่โตเทียบฟ้าอยู่กลางพื้นที่โล่งอันเคว้งคว้าง
อนุสาวรีย์ที่ใหญ่ที่สุดของท่านเจงกิสข่านนี้ สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงความเกรียงไกรในอดีตชนชาติมองโกล บริเวณนี้มีตำนานเล่าว่าได้ค้นพบแส้ทองของอดีตข่านผู้ยิ่งใหญ่ ด้านในมีพิพิธภัณฑ์และจุดถ่ายรูปที่ระทึก (ไปอ่านเจอมาว่าชุดประจำชาติที่อยู่ด้านล่างให้ลองใส่ถ่ายรูปได้ฟรี แต่พวกเราไม่ได้ลอง) เดินขึ้นไปชั้นสองเพื่อขึ้นลิฟต์ไปด้านบน เพื่อดูวิวและถ่ายรูปมุมนิยม แต่ว่าคุณจะไม่ได้ถ่ายรูปอย่างโดดเดี่ยวแน่นอนเพราะเรามีเพื่อนนักท่องเที่ยวที่สามารถเข้ามาร่วมเฟรมกับคุณได้ตลอดเวลา ดังนั้น โปรดอย่าอายถ้าคุณได้ไปร่วมเฟรมกับเค้าโดยไม่ตั้งใจ
หลังจากที่ถ่ายรูปกับเพื่อนนักท่องเที่ยวทุกคนอย่างอิ่มหนำแล้ว เดินออกมามีพื้นที่ให้ถ่ายรูปกับเหยี่ยว หรือขี่ม้าชมธรรมชาติ ดมขี้ม้า หรือซ้อมยิงธนู ตามใจปราถนา
ในระหว่างทางก็มีแวะซื้อของเผื่อไปกิน ไกด์ก็เดินมาบอกว่า ไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำดื่มนะ ทางเค้าจัดการให้ ทางสามจีนบอกว่า ยูไม่รู้อะไร พวกเรากินน้ำเยอะมาก จึงดื้อและซื้อน้ำเพิ่มไปอีก 5 ลิิตร คราวนี้ภายในรถก็มีการคุยกับไกด์ว่า คืนนี้ เราไปนอนกระโจมกลางป่า (หรือเรียกว่า ger) รถคันที่ขับอยู่นี้จะ ขับไปถึงเลยเหรอ เค้าบอกว่าเกือบถึง… อ่ะ!! เริ่มแปลกๆ อีกแล้ว พอไปถึงซักที่นึง ดูไม่ออกว่าเป็นที่ไหน ไกด์ก็แจ้งว่า เรามาถึงแล้ว “take what its need only” ไกด์พูดสั้นๆ แค่หยิบสิ่งของที่จำเป็นไปนอนค้างกลางป่าคืนนี้ (ไอเวร!!) เหล่าสามจีนมองหน้ากันแบบเหวอสุด ไม่ได้เตรียมจ้า ไม่ได้ตระหนักใดๆ ว่าต้องเตรียมกระเป๋าเล็กเพื่อแบกของบางอย่างเข้าป่า เปิดกระเป๋าเดินทางกันวุ่นวาย ห่อข้าว ห่อของ บ่นอู๊ดอี๊ดกันพักใหญ่
หมายเหตุ : หากใครได้อ่านมาถึงตรงนี้ และ คุณมีแผนเดินทางไปมองโกเลีย ถ้าอ่านเจอว่าไปนอน ger กลางป่า ท่ามกลางธรรมชาติ ขอให้รู้ไว้ว่าต้องเตรียมกระเป๋าเล็กใส่ของจำเป็นเดินทางเข้าป่าแบบ 2 วัน 1 คืน
พวกเราแพ็คของไป บ่นไป บ่นกันสักพัก ก็ต้องรีบเดินไปหาเจ้าของเกอร์ และนี่คือเส้นทางเข้าไป ข้ามแม่น้ำ ลำธาร ผืนป่าเขียวขจี นี่ก็คิดว่าเดินเข้าไปถึงก็น่าจะแถวๆ นี้มั้ง
เมื่อเจอเจ้าของเกอร์แล้ว เตรียมตัวเข้าไปที่ ger ซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่เข้าไป 10 กม. ซึ่งทุกคนโดนอัดเข้าไปนั่งในรถพรีอุซ เราก็สงสัยว่า รถนี้มันเข้าป่าได้ด้วยเหรอ … สรุปคือขับเหมือน4WD เลยฮะ นี่ก็เพิ่งรู้ว่าพรีอุซสามารถขับผ่านลำธารลึก พื้นขรุขระ หินดินโคลน และขึ้นเขาได้ด้วยฮะ ถึงขั้นร้องว้าวขึ้นมา (ช่วงระหว่างนั่งอยู่ในรถ ไม่สามารถเก็บภาพได้จริงๆ เขย่าจนหัวใจลงมากองที่ท้องน้อย)
ระหว่างทางรอบข้าง สวยจนพูดไม่ถูก ทั้งป่า เขา ลำธาร ไพร ทุ่งหญ้า ภูเขา ท้องฟ้า วิวสวยจนลืมทั้งสามโลก
คืนนี้เราพักที่นี่ฮะ ในที่เวิ้งว้างแห่งนี้ มีเพียงแค่พวกเรา (3 คน + ไกด์ + เจ้าของเกอร์ เมียเจ้าของและลูก) สองสามกระโจมตรงนี้ แบบไม่มีอะไรมากั้น คือ มันสวยสุดลูกหูลูกตา ภายในเกอร์มี 3 เตียง มีที่นอน หมอน เตาผิงเก่าๆ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปา ไม่มี wi-fi และ ห้องน้ำธรรมชาติ ในกล่อง open air ห่างจากกระโจมไปประมาณ 300 เมตร คืนนี้คิดว่าหนาวแน่ ไกด์เอาถุงนอนมาให้
เข้ามาพักในเกอร์ได้ครู่เดียว คุณลุงเจ้าของเกอร์ก็ยกอาหารค่ำมาเสิร์ฟ แล้วไกด์เดินบอกว่าเนี่ยเดี๋ยวกินอาหารค่ำเสร็จแล้ว ไปขี่ม้ากัน และพวกเราลองเอาถังนวัตกรรมมาปรุงอาหารไทยกัน ถังดำนี้สามารถต้ม หรือ นึ่งด้วยความร้อนสุดๆ
ตอนนี้ใน ger มีน้ำลิตร 1 ถัง และ น้ำขวดที่ไกด์เอามาเพิ่มให้อีก 3 ขวดใหญ่ สรุปว่า แบกมาเยอะเกินกินไม่หมด คำว่า “take what its need only” ดังวนอยู่ในหัว แล้วขำกัน
หมายเหตุ : ฤดูร้อนของมองโกเลยพระอาทิตย์ตกตอน 21.00 น. ฮะ ดังนั้น คือใช้ชีวิตให้คุ้มกับสายลมแสงแดดได้เลยจ้า
วันที่ 3
ทุกคนดูตื่นเช้ามากตั้งแต่ตี 5 ซึ่งเพื่อนอีก 2 คน บอกว่านอนไม่หลับ แต่เรานั้นนอนเหมือนซ้อมตาย ภาพบรรยากาศตอนเช้า สูดอากาศบริสุทธิ์ให้ชุ่มกายบริสุทธิ์ และ ออกเดินทางกลับตอน 8 โมงเช้า
หลังจากขอบคุณและบอกลาเจ้าของ ger เราก้อเดินกลับไปที่รถ ขับต่อไปที่ Aryabal Meditation Temple เป็นวัดที่อยู่กลางหุบเขาแห่งอุทยาน Telejl National Park ซึ่งวัดนี้ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1810 โดยชาวมองโกเลียและชาวทิเบตที่อาศัยอยู่ในอุทยานแห่งชาติ Telejl โดยมีพระจากวัดต่างๆ มายังวัดนี้เพื่อการทำสมาธิและสวดมนต์ ด้านสถาปัตยกรรมของวิหารวัดนี้ได้รับอิทธิพลมาจากทิเบตเป็นหลัก ระหว่างทางเดินมีแผ่นป้ายไม้สีเขียว ที่อธิบายคำสอนในศาสนาพุทธ ทั้งภาษาธิเบตและภาษาอังกฤษควบคู่กัน เรียงรายอยู่ตลอดข้างทาง จำนวน 72 แผ่น ภายในศาลาไม้สีเหลืองเป็นที่ตั้งของกงล้อมนตรา (The great player wheel of kanguyer) สีแดงขนาดใหญ่ รูปทรงกระบอกหมุนได้ ด้านข้างสลักตัวอักษรมนตราศักดิ์สิทธิ์ คำว่า " โอม มณี ป้ทเม ฮัม " เป็นภาษาทิเบตโบราณ มีความเชื่อว่าหากได้สวดมนต์ และหมุนกงล้ออธิษฐานไปพร้อม ๆ กันนั้น 1 รอบ ด้วยศรัทธาที่แน่วแน่จะเท่ากับสวดมนต์ 108 จบ ซึ่งเป็นการบำเพ็ญบุญกุศล ชำระบาปได้ด้วย แบบสายมูอย่างแท้จริง ทางเดินขึ้นนั้นเหมือนมาบำเพ็ญเพียรละลายวิบากกรรมที่สร้างสมมา ได้ถูกชดใช้ไป 10% จากการเดินลาดชันขึ้นไปไหว้พระครั้งนี้ บรรยากาศโดยรอบดีมาก อากาศดี วิวดี
เดินวนไหว้พระเสร็จแล้ว ก็เดินลง ไกด์หันมาบอกว่า อยากจะแวะจุดชมวิวหินเต่าในตำนานมั้ย พวกเราหันมองหน้ากัน แล้วบอกว่า อืม ดูบนรถก็ได้ 555
ประวัติแบบย่อมาก : อุทยานแห่งชาติกอร์ไกเทเรลจ์ (Gorkhi Terelj National Park)
เป็นหนึ่งในอุทยานแห่งชาติ ซึ่งเป็นพื้นที่คุ้มครองแห่งชาติ ภายในอุทยานเป็นที่อยู่อาศัย ของสัตว์ป่าและนกมากกว่า 250 สายพันธุ์ รวมถึงสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ได้แก่ กวางมูซ, หมีสีน้ำตาล และเพียงพอน เป็นต้น นอกจากนี้ มีการก่อตัวของหินมากมาย เป็นผลงานทางศิลปะโดยธรรมชาติ ที่มีลักษณะโดดเด่นและมีชื่อเสียง คือหินเต่า (Turtle Rock, Melkhii Khad, Мэлхий хад) ที่มีเป็นลักษณะรูปทรงเหมือนเต่า ความสูงของหินนี้อยู่ที่ 24 เมตร และเคยเป็นที่รู้จักในชื่อ หินเงิน.. จบ
หลังจากนั้นก็ขับรถไปกินข้าวเที่ยง และนั่งรถยาวๆ ไปที่เมืองหลวงเก่าชื่อ Kharkorin แวะขี่อูฐที่เนินทราย Mongolia Sand Dune ก่อนเข้า ger ที่มีน้ำไฟและห้องน้ำรวม
คืนนี้ เราพัก ger ที่อยู่ใกล้ๆ กับ Erdenezuu Monastery ช่วงทานอาหารค่ำ มีโชว์พื้นเมืองร้องแบบ Throat singing (เปล่งเสียงจากลำคอออกมาเป็นทำนองเพลง) และเต้น รวมถึงเล่าเรื่องด้วยเครื่องดนตรี
หมายเหตุ : น้ำที่ซื้อมา 5 ลิตรยังคงแบกมาที่นี่ เพราะกินไม่หมด
วันที่ 4
วันนี้ไกด์บอกว่า ออกสายได้ เพราะว่าที่เราจะไป อยู่ใกล้ๆ ที่พัก นั่นคือ Kharkorin
Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวม ทั้งข้อมูล การอธิบาย หลักฐานทางประวัติศาสตร์และการจัดแสดงโบราณวัตถุได้อย่างครบถ้วน และ อารามเออร์ดีนชู (Erdene Zuu Monastery) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1585 ตั้งอยู่ติดกับกำแพงเมือง เป็นอารามเก่าแก่ที่สุด สร้างขึ้นจากซากปรักหักพังของเมืองคารโคลัมในอดีต สถาปัตยกรรมแบบผสมกับทิเบต รูปทรงคล้ายกับพระราชวังต้องห้ามในประเทศจีน ภายในเป็นที่ประดิษฐสถานของพระพุทธรูป (พระพุทธรูป เทพ มารต่างๆ มีความคล้ายกับฝั่งทิเบตและเลย์ ลาดัค) ผ้าเขียนแบบทังก้าที่วาดขึ้นและผ้าปักปราณีตจากความศรัทธาของนักบวช
บริเวณใกล้เคียงมี วัดกอร์บันซุน (Gorban Zuu Temple) และวัดลาวิรัน (Laviran Temple) สร้างจากซากอาคารต่างๆ ที่เหลือรอดจากการทำลายในยุคการปกครองของคอมมิวนิสด์ เป็นแนวทิเบตและจีนผสมกัน
ตอนที่เราเข้าไปที่วัดกอร์บันซุน มีพิธีสวดมนต์ แล้วไกด์เล่าถึงความเชื่อว่า หากใครมีปัญหาเรื่องหาคู่ หรือ ผูกดวง สามารถเอาชื่อมาให้พระสวดทำพิธีในวัดนี้ได้ เค้าว่ากันว่าจะทำให้มีคู่ หรือ คนที่ชอบมาหลงรัก หนึ่งในสามจีนได้ตอบกลับไปว่า ทำไมต้องรอให้พระมาสวดให้ล่ะ ในเมื่อเรามี Tinder Gold อยู่ในมือ ความรักอยู่เพียงปลายนิ้วสัมผัส
หลังจากชื่นชมประวัติ อารามหลวงแล้ว เดินมาด้านนอกเจอน้องเหยี่ยวตัวใหญ่ พวกเราเลยไปขอถ่ายรูปด้วยสักพักใหญ่เสร็จแล้วขึ้นรถตรงไปที่พักแถว Ugii lake ซึ่งในอดีตบริเวณนี้ชาวมองโกลจะมาที่นี่เพื่อวางหิน และ ผ้าสีน้ำเงินตามความเชื่อโบราณ เมื่อมาถึงแล้วไม่ได้มีอะไรให้ทำมาก นอกจากชื่นชมธรรมชาติ พวกเราออกไปเดินรอบๆ และได้เพื่อนใหม่กลับมา 1 ตัว
คืนนี้ ฝนตกสลับอากาศหนาว มีน้องกบ กระโดดเข้า ger หลายตัวอยู่ จนต้องปิดกระเป๋าไว้ เกรงว่าจะได้พาน้องกลับไทย
วันที่ 5
ออกเดินทาง กลับเข้าเมือง ระยะทางจากที่พักนอกเมืองกลับไปในเมืองแทบเติบโตบนรถ กิจกรรมวันนี้คือ กิน-นอน-เข้าห้องน้ำ ซึ่งไกด์ถามเราว่า อยากจะไป Hustai National Park เพื่อไปส่องม้าสายพันธุ์หายากมั้ย พวกเราบอกว่า ข้ามได้เลย ขับรถยิงยาวกลับเมืองเลยดีกว่า
ระหว่างการเดินทางอันยาวนานวันนี้ นั่งคุยเรื่อยเปื่อยกับไกด์ สอบถามและแชร์เรื่องราวของประเทศกันและกัน คนที่นี่ชอบกินมันหมูและมันเนื้อเพื่อสะสมความอบอุ่นให้ร่างกาย เรียกง่ายๆ ว่าพุง ให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปลอดภัยในช่วงหน้าหนาวของมองโกเลีย คนที่นี่ไม่ได้สนใจเรื่องรูปร่างหน้าตาภายนอกเท่าไหร่ จะมีเพียงกลุ่มน้อยเท่านั้น นอกจากนี้ ยังแนะนำการใช้แอปเรียกแท๊กซี่ที่นี่ ชื่อ UBCab หน้าตาเหมือนแอปบ้านเรา ต้องใช้เบอร์ภายในประเทศสมัครเท่านั้น ความแตกต่างคือ เราปักหมุดจุดรับได้ แต่ปักจุดไปส่งและดูราคาไม่ได้จ้า เมื่อขึ้นรถถึงโชว์ว่าเราจะไปที่ไหน ส่งให้คนขับแท๊กซี่ดู
กว่าจะถึงเมืองก็บ่ายแก่ๆ แล้ว ไกด์พาเราไปเก็บของที่อพาทเม้นและไปส่งที่ในเมือง ตอนนี้ถึงเวลาบอกลาไกด์หนุ่มหน้ามนของเราและไปเก็บที่เที่ยวในเมืองเล็กๆ น้อยๆ
ในเมืองอากาศร้อนทีเดียว เหมือนเดินอยู่กรุงเทพ ซึ่งภายในเมืองสามารถเดินเที่ยวตามจุดต่างๆ เองได้ ซึ่งแต่ละจุดก็สามารถเดินได้แบบเหงื่อซึมๆ ความที่เรามาถึงตัวเมืองบ่ายแก่ๆ แล้ว สถานที่เราไปจะเก็บได้ไม่กี่ที่ อาทิ สวนสาธารณะจตุรัสเซเด็นบัล (Sükhbaatar Square) ในพื้นที่เดียวกันมี อนุสาวรีย์ซุคบาตาร์ (Monument of Sukhbaatar in Ulaanbaatar) เพื่อเป็นเกียรติแก่วีรบุรุษ เป็นผู้นำและนักเคลื่อนไหวเพื่ออิสรภาพชาวมองโกล สวนนี้ดูไปก็เหมือนสนามหลวงที่ทุกคนมาเล่นวอลเล่ย์กันแบบเต็มพื้นที่
จากจุดนี้เดินไปไม่ไกล มี พิพิธภัณฑ์แห่งชาติมองโกเลีย (National Museum of Mongolia) ใช้เวลาเดิน 5 นาที ในนี้มีนิทรรศการจัดแสดงตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ไดโนเสาร์ตัวแรกของโลกในมองโกเลีย ไปจนถึงยุคเรืองรองของเจงกิสข่าน จักรพรรดิผู้ครองโลก ไปจนถึงการเข้ายึดครองของจีนและรัสเซีย จวบจนสมัยปัจจุบัน คือตั้งแต่ 0-100 ประวัติศาสตร์มองโกเลียถูกรวบรวมไว้ที่นี่
อีกที่คือ วัด Gandantegchinlen Monastery เดินจากพิพิธภัณฑ์ไปประมาณ 2 ก.ม. หนึ่งในวัดพุทธเก่าแก่ที่สุดของมองโกเลีย ซึ่งพวกเราไม่เดิน (อ่านประวัติวัดเพิ่มเติม)
หลังจากเดินวนรอบๆ รวมถึงไปดูสินค้าขึ้นชื่อเรื่องผ้าแคชเมีย และ คืนนี้หากินเองเลยเดินไปตามที่ไกด์แนะนำชื่อ Modern Nomade ไม่ไกลจากแถวจตุรัสฯ เสร็จแล้วลองเรียกแท๊กซี่จาก UBCab ดู คนขับแท๊กซี่พยายามคุยกับเรา ตอนแรกก็ขรุขระนิดหน่อย แต่พอเริ่มเดาทางกันได้ ก็คุยใหญ่เลย เห็นว่าชอบดาราไทย ชอบน้องใบเฟิร์น และที่สำคัญชอบดูหนังผีไทยมาก ดูทุกเรื่อง จนมาถึงที่อพาทเม้นเหมือนจะติดลม พูดไม่หยุด ถามหนังผีอะไรน่ากลัวๆ แนะนำเค้าหน่อย แบบไม่คิดเงินแล้วจ้า จนเพื่อนอีกคนนึงทักว่ามึงหยุดเปิดหนังก่อน มาคิดเงินก่อน
กลับมาห้องพบว่า… เรายังเหลืออาหารอีกเยอะมากน่าจะกินได้อีก 3 คืน
หมายเหตุ : จากที่สังเกตตั้งแต่มา การไถ่ถามหรือการพูดคุยกับชาวมองโกตลอดทริปนี้มา มักจะชอบถามอายุเราเสมอ ไม่รู้อยากรู้ไปทำไม
วันที่ 6
วันนี้เรานัดคนขับรถมาแต่เช้า จากที่ได้หาข้อมูลมาว่าเทศกาล Danshig Naadam เป็นเทศกาลใหญ่ประจำทุกปีของมองโกเลีย ซึ่งหลัก ๆ คือ อยากไปดู การเต้นรำของจาม (Tsam Dance) หรือระบำผีตาโขน (ตามที่เกริ่นไปตั้งแต่จุดเริ่มต้น) ออกจากเมืองไป 1 ชม คิดว่าน่าจะเป็นเทศกาลใหญ่ มีตำรวจมาให้เป่าตรวจแอลกฮอล์ตั้งแต่เช้าเลย เมื่อไปถึงก็ไม่คิดว่าเทศกาลใหญ่ แบบใหญ่มาก
จอดรถและเดินเข้าไปในงาน นี่ก็สงสัยว่าจะเจอรถได้ไงวะ ถามคนขับก็ตกลงกันว่า เสร็จกี่โมงก็ได้ มาเจอที่รถ หากว่าหาไม่เจอให้โทรหา (แล้วจะคุยไงหวา สื่อสารกันไม่ได้!) แต่เอาละ เดี๋ยวค่อยว่ากัน
แล้วพวกเราก็เดินงงๆ เข้าไปในงาน แบบไม่รู้ทิศทาง จนหาเจอว่าสถานที่จัดงานใหญ่คืออยู่อีกฟากของเนินเขา (WTF!!) มองไปคือไกลมาก ดีที่มีรถรับ-ส่ง ในงาน
เข้ามาในพื้นที่งานด้านใน มีขนาดใหญ่มากๆๆๆๆ จำนวน 2 พื้นที่หลัก แบ่งเป็น พื้นที่แรกเป็นส่วนของแสดงโชว์ต่างๆ อีกพื้นที่นึงเป็นสนามแข่งม้าและกีฬาประเภทขี่ม้าทั้งหลาย
นั่งตากแดดชมงานตรงนี้ คือ เป็นจีนจำพวกเดียวที่ต้องหาอะไรมาคลุมหน้า คลุมหัว ทาครีมกันแดดทุก 30 นาที กลัวเกรียม (รูปนั่งบนเก้าอี้) สักพักเริ่มมีคนมายืนบังด้านหน้า เลยเลื่อนตัวเองมาแถว VIP
การแสดงเริ่มจากฟังเสียงพระสวดไปยาวๆ จนมีการระบำผีตาโขนแบบดูไกลๆ
เสร็จแล้วก็แข่งมวยปล้ำประจำชาติ 10 คู่
ในระหว่างวันสิ่งที่เราได้ยินตลอดเวลาคือ “เจ๊มะละกอ” กับ “อนันด๊า อนันดา” ฟังจนหลอน จนจับใจความได้ว่า คำว่า “เจ๊มะละกอ” น่าจะมาขายไอติม และ อีกคำแปลว่า เตรียมพร้อมนะ
ดูจำไหม้เกรียมแดดเดียว ก็ย้ายสถานที่ไปดูเด็กๆ แข่งขี่ม้ากัน ส่วนภาพที่ตื่นตาตื่นใจเราที่สุดคือ การยิงธนูบนหลักม้า ซึ่งทำให้เราอินไปกับการแข่งขันมากทีเดียว รวมไปถึงปลื้มนักแข่งที่แต่งตัวเหมือนนักรบโบราณ มาแข่งยิงธนูกัน บางคนก็แต่งตัวรวยมาขี่ม้า ดูรวยไปหมด แต่ว่ายิงธนูไม่เก่งต้องไปฝึกมาใหม่
จากที่คิดว่าจะใช้เวลาที่นี่ช่วงเช้าแล้วคงกลับไปเที่ยวในเมือง แต่กลายเป็นว่าเราใช้เวลากับงานนี้ทั้งวัน กว่าจะเดินออกมาก็ช่วงเย็นมากๆ คนขับรถถึงขั้นตกใจ กลัวสามจีนโดนทำร้ายและหายตัวไป คืนนี้เรากลับไปจัดการอาหารเย็นที่ห้องโดยจะเคลียอาหารที่แบกมาให้หมด ตั้งเป้าว่าไม่แบกกลับแน่นอน กินกันพุงกาง และพูดคุยกันเรื่องจะไปเรียนขี่ม้าและยิงธนูเนื่องจากอินการแข่งขันของพี่นักรบทุกคนมาก พร้อมแพ็คของเตรียมกลับบ้าน
อธิบายเพิ่มเติม:
Danshig Naadam เป็นเทศกาลเฉลิมฉลองประจำชาติ คำว่า ‘นาดัม’ แปลว่า เกมกีฬา 3 ประเภทของผู้ชาย (The Three Games of Men) คือมวยปล้ำ ยิงธนู และขี่ม้า เป็นมรดกวัฒนธรรมของมนุษยชาติ (The Intangible Cultural Heritage of Humanity) ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) งานจะมี 2 วัน โดยจะมีขบวนพาเหรดกองทัพมองโกลโบราณทั้งเก้าชนเผ่ามาพร้อมกับอาวุธต่อสู้สมัยก่อน ผู้นำกองทัพขี่ม้าเข้ามาพร้อมเสียงโห่ร้องปลุกใจจากทหารหลายพันคน จังหวะควบม้ากับเสียงตึกๆ ดังระรัว ฝุ่นตลบ เสียงดาบฟันกัน เหมือนฉากรบฉากหนึ่ง และแข่งขันกีฬาตามช่วงเวลาต่างๆ
Tsam Dance คือ เป็นการเต้นรำสวมหน้ากาก ที่เกี่ยวข้องกับนิกายต่างๆ ของพระพุทธศาสนาแบบทิเบต (Tibetan Buddhism) และเทศกาลทางพุทธศาสนา การเต้นรำจะมีดนตรีที่บรรเลงโดยพระสงฆ์ โดยใช้เครื่องดนตรีทิเบตโบราณ การเต้นรำมักจะสอนเรื่องศีลธรรม ที่เกี่ยวข้องกับความเห็นอกเห็นใจ ต่อสรรพสัตว์และผู้อื่นบนโลกใบนี้
วันที่ 7
บ๊าย บาย มองโกเลย อยากกลับมาอีกในช่วงติดลบ 40 องศา ให้มันรู้ว่าโลกใบนี้มันจะหนาวได้ขนาดไหนเชียว แล้วเราจะกลับมาใหม่
แวะค้างฮ่องกง 1 คืน ไม่มีอะไรน่าสนใจขนาดนั้น สิ่งหนึ่งที่เพิ่งรู้เลย คือ เราสามารถใช้ wallet ของไทย แปลงเป็น AliPay จ่ายเงินที่ฮ่องกงได้แล้ว (ใครบอกว่ารู้นานแล้ว จะโดนทุบหลังแอ่น)
ค่าใช้จ่ายคร่าวๆ
ค่าทัวร์ 7 วัน 6 คืน จองกับที่นี่จ้า *แนะนำมาก ๆ* - 17,xxx บาท/คน (รวมอาหาร/ที่พัก/ค่าใช้จ่ายค่าเข้าสถานที่ต่างๆ /ค่าไกด์ท้องถิ่น และอีกหลายอย่างไว้ หากว่าใครสนใจ ติดต่อตรงได้เลย www.rizetravel.com)
ค่าที่พัก Eagle Town Service Apartment ราคา 2 คืน 6,000 บาท/3 คน หรือ คนละ 2000 บาท (https://theeagletown.com/)
ค่าตั๋วเครื่องบิน กรุงเทพฯ-ฮ่องกง-กรุงเทพฯ by Hong Kong Airline = 7,XXX บาท/คน
ค่าตั๋วเครื่องบิน ฮ่องกง-อูลานบาตอร์-ฮ่องกง by MIAT Airlines (สายการบินประจำชาติมองโกเลีย) = 18,xxx บาท/คน
ค่าโรงแรมที่ฮ่องกง 1 คืน (ไป-กลับ) 9xx บาท/คน
ค่ากินและอื่นๆ โดยประมาณ 8xxx บาท/คน
ซิมการ์ด roaming 399 บาท
แลกเงินประมาณ $150 น่าจะเพียงพอกับค่าใช้จ่ายทั่วไปไม่รวมช้อปปิ้ง
ขอบคุณทุกอย่าง
ขอบคุณที่แบกของอร่อยมาช่วยกันทำกินกัน
ขอบคุณที่พูดห่าอะไรก็ขำหมด ขำจนเหมือนเมากัญชา ขำจนไกด์ยังสงสัยว่าขำอะไร ขำแล้วก็กิน กินแล้วก็หลับ ตื่นก็ขอเข้าห้องน้ำ แล้วก็กลับมาขำอีกรอบ
ขอบคุณที่ร่างกายแข็งแรงมากพอที่จะเดินทางไปที่สมบุกสมบัน โดนแดด-ลม-ฝน สลับกันทุกๆ 3 ชั่วโมงแล้วไม่ป่วย
ขอบคุณที่เป็นห่วงผิวหน้าของเรา หยิบยื่นครีมกันแดดให้ตลอดเวลา
ขอบคุณที่ช่วยกันสื่อสาร แม้ว่าบางทีเรางงๆ พูดไม่รู้เรื่อง
ขอบคุณที่ได้เจอแต่คนดีๆ ตลอดทริป
ขอบคุณทุกคนที่ไม่เรื่องมาก ยืดหยุ่น ไหลลื่นไปทุกสถานการณ์
ขอบคุณทุกความโชคดีที่ได้ผ่านเข้ามา
ขอบคุณทุกคนที่แชร์ความสุขร่วมกัน
ข้อแนะนำส่งท้าย
มองโกเลีย ไม่ต้องขอวีซ่าจ้า ถ้าโดนไล่ไปทำวีซ่า ให้แจ้งเค้าว่า ไทยแลนด์แดนสยาม ไม่ต้องใช้น้า ยื่นข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตให้เค้าดูก็ได้
ไม่ตรวจ vaccine certificate แล้วจ้า
เอาจิง การเดินทางก็ไม่ได้แย่มากนะ กรุงเทพ->ฮ่องกง->มองโกเลีย หรือบางสายการบิน ก็เปิดบินตรงนะ แต่ต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่ฮ่องกงอยู่ดี
หากใครอยากแอดเวนเจอร์อีกนิด ใช้เวลา 10 วันขึ้นไป ลองใช้บริการรถไฟสาย Trans Mongolia (ขึ้นจากปักกิ่ง ใช้เวลาประมาณ 2 วัน 1 คืน) แล้วลัดเลาะตามเส้นทางธรรมชาติแอบเข้าไปที่มองโกเลียได้ฮะ (หาอ่านได้จากรีวิวของคนอื่นละกัน)
อาหารหลักที่นี่ จะเน้นไปที่เนื้อวัว กับ เนื้อแกะ หรืออีกทางเลือกมีไก่ให้พออยู่ได้ ส่วนหมูนั้น อุดมไปด้วยคอลลาเจน แปดหมื่นชั้น กินเข้าไปเป็นไขมันพอกตับได้เมื่อกลับไทย ทั้งนี้ ในเมือง มีพวก KFC Pizza Hut ร้านกาแฟสัญชาติเกาหลี เต็มเมืองอูลานบาตอร์
อากาศค่อนข้างเดายาก ที่เราเจอคือ แดด-ลม-ฝน สลับกันไปทุก 2 ชั่วโมง ในช่วงที่เรามาคือเดือนสิงหาคม เป็นฤดูร้อน หากใครหาญกล้าลองมาเทส -40 องศา ก็เชิญมาช่วง พ.ย. - มี.ค.
ค่าใช้ชีวิตที่นี่ ราคาไม่ค่อยต่างจากไทยมาก
คนในเมือง รวมไปถึงทุกคนที่เราเจอ เป็นมิตรและพร้อมช่วยเหลือเรา ถึงแม้ว่าจะใช้ภาษาอังกฤษได้นิดหน่อยก็ตาม
สามสิ่งสำคัญ คือ อาหาร ที่พัก และ ห้องน้ำ อาจจะเป็นตัวบ่อนทำลายจิตใจคนมีเงื่อนไขในชีวิตเยอะ ดังนั้นแนะนำถ้าหากอยากมาที่นี่ โปรดทำใจ
ศึกษาเรื่องข้อห้ามต่างๆ ของคนท้องถิ่นไว้หน่อยก็ดี สิ่งไหนควร หรือ ไม่ควร
ข้อมูลทั่วไป
มองโกเลียมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมโบราณสืบทอดมา และความสมบูรณ์ธรรมชาติอันบริสุทธิ์ มีคนเคยบอกว่า ประเทศนี้เป็นดินแดนแห่งท้องฟ้าสีฟ้าชั่วนิรันดร์ ซึ่งมึพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทุ่งหญ้า มีทะเลทรายโกบีทางทิศใต้ และมีพรมแดนติดกับรัสเซียทางเหนือ และจีนทางทิศใต้ สภาพอากาศมีสี่ฤดูกาล ได้แก่ ฤดูใบไม้ผลิ, ฤดูร้อน, ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว โดยเฉลี่ยเดือนมกราคมจะลดลงต่ำสุดที่ −30 ถึง -40 °C สำหรับเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการท่องเที่ยว คือในช่วงฤดูร้อน ตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายน จนถึงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนสิงหาคม (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมของมองโกเลีย คลิก)
บันทึกการเดินทาง 15/08/2023
ปิ๊กมี่ หลงไปไหน
Comments