จากละอองความฝัน สู่การเดินทางที่ยิ่งใหญ่
จุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งนี้ คือความสนใจไปดำน้ำดูปลาฉลามขาว เป็นที่มาของการเสิร์ชหาข้อมูล แล้วพบว่ามีอยู่หลายที่พาดำน้ำแบบนี้และใช้ค่าใช้จ่ายสูงด้วย แต่พอลองได้คุ้ยในรายละเอียดแล้ว สุดท้ายก้อได้ลงเอยที่แอฟริกาใต้นี่แหละ (South Africa เรามาแล้ว)
หาข้อมูล
เราเริ่มจากหาข้อมูลที่เที่ยวน่าสนใจในแอฟริกาใต้ จากใน pantip มีอยู่หลายกระทู้ที่แนะนำข้อมูลได้น่าสนใจ (ขอกราบขอบคุณทุกรีวิวมา ณ ที่นี้ด้วยฮะ) เราเข้าไปดูข้อมูลทั้ง Johannesburg, Kruger National Park, Cape Town และมีอีกหลายๆ กิจกรรมที่น่าสนใจทั้งนั้น มีหลายสายการบินที่บินไป SA ซึ่งพอกดหาสายการบินที่ราคาไม่โหดร้ายมากนัก และ ระยะเวลาเดินทางน้อยที่สุด กดไปเรื่อยๆ จนในที่สุดใช้บริการสายการบินเอธิโอเปี้ยน แอร์ไลน์ ซึ่งบิน(เกือบ)ตรงจากกรุงเทพฯ - ( แวะสนามบิน #AddisAbaba เอธิโอเปีย เปลี่ยนเครื่อง) - โจเบิร์ก ถือว่าคุ้มทั้งราคาและเวลา ส่วนที่พักก้อไปคุ้ยข้อมูลหลายๆ ที่ ทั้งในโจเบิร์ก และ เคปทาวน์ บางที่ดูไม่เหมาะสมกับราคา บางที่ราคาถูกเกินไปจนน่ากลัว อันนี้ต้องแล้วแต่ความเหมาะสมและความต้องการของแต่ละ ไลฟ์สไตล์ เอธิโอเปีย เปลี่ยนเครื่อง) - โจเบิร์ก ถือว่าคุ้มทั้งราคาและเวลา ส่วนที่พักก้อไปคุ้ยข้อมูลหลายๆ ที่ ทั้งในโจเบิร์ก และ เคปทาวน์ บางที่ดูไม่เหมาะสมกับราคา บางที่ราคาถูกเกินไปจนน่ากลัว อันนี้ต้องแล้วแต่ความเหมาะสมและความต้องการของแต่ละ ไลฟ์สไตล์ หมายเหตุ : การใช้คำ และตัวย่อ *แอฟริกาใต้ = South Africa (SA) *โจฮันเนสเบิร์ก (โจเบิร์ก)= Johannesburg (JNB) *เคปทาวน์ = Cape Town (CPT)
วางแผน และ เตรียมตัว
เรามีจำนวนวันเดินเที่ยวทั้งสิ้น 12 วัน ถือว่ามากพอในย่างก้าวต่อนยอนไปเรื่อยๆ จึงเริ่มต้นจากโจเบิร์ก 1 วัน แวะพักซาฟารี 3 วัน และเคปทาวน์ 8 วัน แอบเสียดายระยะที่อยู่โจเบิร์กน้อยไปนิด ไม่อย่างนั้นอาจจะได้ไปสถานที่ต่างๆ มากกว่าได้อีก
ไปถึงที่นั่นแล้ว ควรให้เวลากับซาฟารีเต็ม ถ้ามีเวลามากพอให้ไป Kruger National Park เลย ใช้เวลา 3 วัน 2 คืน เต็มๆ แล้วค่อยกลับมาพักที่โจเบิร์ก ดูรอบๆ เมือง แล้วค่อยบินไปเคปทาวน์ดีกว่า แต่พวกเรากะเวลาไม่ถูก ดังนั้นจึงได้ไปแค่ Pilanesburg National Park ซึ่งอยู่ใกล้ตัวเมืองมากกว่า และสามารถเดินทางกลับมาได้ตามเวลาบินที่วางแผนไว้
ควรจองที่พักออนไลน์ล่วงหน้า แต่มาซื้อกิจกรรมที่โจเบิร์ก หรือ เคปทาวน์จะดีกว่า เพราะจะได้กำหนดวันเวลาเดินทางได้สะดวกกว่า (กรณีนี้ เผื่อมีการแจ้งเลื่อนกิจกรรมเนื่องจากปัจจัยหลายอย่างไม่อำนวย) เราโชคดีมากที่มีเอเจนซี่คอยแนะนำ และหาที่พักราคาเหมาะสมที่โจเบิร์กและซาฟารีให้ ส่วนที่เคปทาวน์ เราหาเอง อยู่ใกล้กลางเมืองและราคาไม่แพง
ตั๋วบิน ดูหลายที่มาก มาตัดสินใจซื้อ เอธิโอเปี่ยน แอร์ไลน์ เพราะราคา กดซื้ออย่างรวดเร็ว และบินภายในประเทศดูจาก expedia ช่วยได้มาก (เราใช้บริการ SA Airlines)
สกุลเงินที่นี่ใช้ ZAR (อ่านว่า Rand สัญลักษณ์คือ R) ค่าเงินวันที่แลก 19/12/2559 : 1 R = 2.5 B
การติดต่อสื่อสารที่นั่น เราซื้อ sim card ซึ่งมีให้เลือกหลายยี่ห้อ ได้แก่ MTN, Cell C and Vodacom เป็นต้น
ช่วงธันวาคมถึงมกราคม เป็นช่วงฤดูร้อน แต่ให้ระวังให้ดี อากาศที่ South Africa ไม่สามารถคาดเดาได้ แนะนำให้เตรียมทั้งชุดกันหนาว และ เสื้อกันฝนหรือร่ม ไปด้วย
วันที่ 0 : เดินทาง เอกสารที่ไปต้องใช้ เช่น กำหนดการเดินทาง ใบยืนยันที่พัก ก๊อปปี้พาสปอร์ต เป็นต้น เตรียมปริ้นให้พร้อม วันเดินทาง เราเช็คอินออนไลน์ไปเรียบร้อย ถึงก่อนเวลานิดหน่อย พอถึงเวลาชั่งน้ำหนักกระเป๋าปรากฎว่าของเพื่อนเราหนักมาก (เกินไป 10 กิโล เนื่องจากพกอาหารเหล่านี้ไปด้วย พร้อมกับชุดเตรียมถ่ายแบบอีกกว่า 50 ชุด)
และค้นพบว่า Ethiopian airlines แชร์น้ำหนักกระเป๋าไม่ได้ จึงต้องนำออกมาชำแแหละแบ่งแยกของกันตรงหน้าเคาน์เตอร์นั่นแหละ สุดท้ายผ่านแบบน้ำหนักพอดี ไม่ขาดไม่เกินทั้งสามคน เครื่อง Ethipian รุ่น Boeing 787 เครื่องใหม่เอี่ยม บรรจุผู้โดยสาร ทั้งฝรั่ง ทั้งผิวสี หาคนจีนหรือเอเชียน้อยมาาาก ทั้งนี้ คนเอธิโอเปียแบบออริจิ ไม่ค่อยมีมารยาทเท่าไหร่ (อธิบายแค่นี้พอ ขอไม่ลงรายละเอียด) และบรรยากาศบนเครื่องมีความรู้สึกแปลกตาดี ทั้งชุดแอร์ และการบริการ
มาพักเครื่องที่เอธิโอเปีย 2 ชม แล้วขึ้นเครื่องต่อ สนามบินที่นี่ระบบรักษาความปลอดภัยเข้มมาก ถึงขั้นต้องถอดรองเท้าทุกคน
หลังจากรอเปลี่ยนเครื่อง เดินทางจากเอธิโอเปียไปโจเบิร์ก ด้วยเครื่อง Boeing 777 ดีมาก หลับสนิท ผู้โดยฯ ที่ไปโจเบิร์กโอเค. มีแต่ฝรั่งมา แต่ไม่เห็นนักท่องเที่ยวชาวเอเชียเลยแฮะ แอบรู้สึกแปลกๆ
วันที่ 1 : ถึงสนามบิน Johanesburg มาถึงสนามบิน ให้เดินออกมาไปซื้อ sim card ก่อน จะเจอ 3 เจ้านี้ ได้แก่ MTN / voda com / Cell C **แพ็คเกจที่เราซื้อมา มีรถมารับจากสนามบินด้วย ถ้าไม่มีรถมารับ ก้อนั่งแท๊กซี่ไป ร.ร. ราคาเฉลี่ย R300**
เมื่อเดินดูแล้ว MTN ถูกสุด ต้องซื้อ sim card + airtime + data (เราโชคดีได้ top up x 2 ในวันที่ซื้อ จาก 2 GB เป็น 4 GB คุ้มมากๆ) ควรให้เจ้าหน้าที่ทำการลงทะเบียนซิมการ์ดให้เรียบร้อย พร้อมกดรหัสยืนยันการใช้อินเตอร์เน็ต ราคาอยู่ที่ R63.5 (sim card+airtime) + R260 (data 2 + 2 GB) เหตุการณ์ที่เราเจอคือ เจ้าหน้าที่เลือกบริการเพื่อนผู้หญิง คุยดีมาก บริการเพื่อนเราดีมาก ลงทะเบียนเรียบร้อย พอถึงตาเราก้อทำรีบๆๆ แล้วไม่ลงทะเบียน (บอกว่าเดี๋ยวคนอื่นจะช่วยเอง) และไม่ทอนเงิน !! พอถึงโรงแรมเพิ่งรู้ตัว (ว่าไม่ทอนเงิน และไม่ลงทะเบียนซิมให้) ต้องโทรไปวีนเอาเงินคืนด่วนๆ ... ไม่ควรปล่อยผ่านเรื่องนี้ !!
เรามาพักโรงแรม Garden Court ไม่แน่ใจว่าอยู่กลางเมืองรึเปล่า รู้ว่าอยู่ตรงข้ามกับ Nelson Mandela Square พอได้มีโอกาสเดินเล่นรอบๆ ก่อนเดินทางไปซาฟารีวันพรุ่งนี้ ห้าง Nelson Mandela Square/ Sandton city mall มีคนหลากเชื้อชาติ ร้านค้าแบรนด์เนมปกติในห้าง ร้านอาหารในห้างราคาใกล้เคียงไทย
แนะนำ ก่อนไป pilanesburg ให้ซื้อข้าว/ขนม เตรียมไว้เพื่อกินเที่ยงที่นู่น
เผอิญช่วงที่ไปเป็นวันคริสมาสต์พอดี ร้านค้าในห้างปิดเวลา 6 โมงเย็นตรงเป๊ะ ห้ามคนเข้าแถมไล่ทุกคนออกจากห้าง แปลกแตกต่างจากบ้านเราที่อยากให้อยู่ในห้างให้นานที่สุด พวกเราเลยเดินเล่นไปรอบๆ ห้าง (ที่กำลังจะปิด) ถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยๆ
วันที่ 2 : มุ่งหน้าสู่ซาฟารี
เช้าวันรุ่งขึ้น ฝนตก ดูจากอากาศวันนี้แล้วท่าทางซาฟารีคงจะครึ้มๆ แน่ๆ เราใช้เวลาจาก Sandton city to Pilanesburg ประมาน 2 ชม ในระหว่างทางจะเห็นแคมป์คนงานในเหมืองแร่ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในหนัง ที่อยู่ในชุมชนพื้นเมืองท้องถิ่นมากๆ .. ซึ่งถ้าเดินอยู่ตรงนั้น ดูค่อนข้างอันตรายน่าดู ไกด์เล่าว่าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติมาทำงานในเหมืองละแวกนั้น มีเหมือง platinum อยู่ช่วงก่อนถึง #SunCity
สถานที่เที่ยวชื่อว่า Sun City และแผนที่ ดูอลังการมาก
ถึงที่พักเร็วกว่ากำหนด ซึ่งที่พักให้เข้า check-in ได้ 2 pm ถ้ามีเวลาให้ไปแวะ sun city ก่อน ซึ่งที่ sun city มีเครื่องเล่น และ กิจกรรมมากมายเหมือนไปเล่นสวนสนุก ค่าเข้า R60 + ค่า shuttle bus R80 (ต่อเที่ยว)
เมื่อได้เข้ามาเช็คอินที่ซาฟารีแล้ว รีบไปจอง game drive ก่อน ซึ่งอยู่ 2 ช่วงเวลาต่อวัน ได้แก่ 05.30 น. และ 15.30 น. เราจองไปทั้ง 3 ช่วงเวลาเลย (1st day 15.30 / 2nd day 05.30 / 15.30) ควรไปก่อนเวลานัด จะได้เลือกที่นั่งได้ก่อน ซึ่งพวกเราเน้นด้านหน้าๆ เพราะจะได้เห็นทั้งข้างหน้า และด้านข้าง รวมทั้ง ได้ยินไกด์อธิบายได้ชัดเจน
ข้อแนะนำ
แพ็คเกจที่จองมา รวมอาหารค่ำด้วย (ต้องไปจองโต๊ะด้วย ไม่งั้นไม่มีที่นั่ง)
เช็คดูให้ดี ว่าได้ไป game drive ได้กี่ครั้งใน แพ็คเกจ ไม่งั้นต้องจ่ายเงินเพิ่ม รอบละR 410 (ประมาณ 1000 บาท)
หลังจากที่จัดการเรื่องเช็คอิน และจอง game drives ก็กระโดดขึ้นรถทันที หวังว่าจะเจอ big five ให้หมด ** อากาศที่นี่ เดาทางไม่ได้เลย ตอนที่ไปรอบแรก อากาศหนาวมาก ** ** ก่อนเดินทางเช็คสภาพอากาศจะอยู่ประมาณ 25 องศาเท่านั้น แต่ไปถึงเจอฝนเลยอุณหภูมิเหลือ 10 กว่าองศา **
Game drive แรก โชคดีมาก เจอ แรด/ ช้าง / ไฮยีน่า / จิ้กจอก / จระเข้ / ยีราฟ / สิงโต (ไกลๆ) / วัวป่า (wildebeest) / ละมั่งแอฟริกา (springbok) / อิมพาลา / ม้าลาย / ฮิปโป (ไกลๆ ก้อนๆ)
วันที่ 3 : สนุกกับ game drive ทั้งวัน Game drive #2 ออกมาเวลา 05.30 น. และฝนตกอีก หนาวมาก ลมแรง แต่โชคดีเจอ สิงโต / แรด / ซึ่งมีความฟินที่สุด
กลับมากินอาหารเช้าตอน 9 โมง และ ระหว่างวัน คือ นอน เดินเล่น กินมาม่า รวมถึงการล่อลิงให้มาคุ้ยขยะหน้าห้องด้วย
เข้าใจคำว่า ช้างกระทืบโลง ก้อวันนี้แหละ
Game drive #3 รอบนี้ อากาศดี เจอ leopard & buffalo อยู่ไกลๆ ถือว่าครบ 5 แล้ว ยังได้เห็นช้าง / แรด / ม้าลาย / ยีราฟ / เดินข้ามถนนโชคดีมาก คนขับสนุกและเก่งมาก คำเตือน การนั่ง game drive ไม่ควรโหวกเหวกเสียงดังเยี่ยง นทท.แผ่นดินใหญ่ อาจโดนไกด์คนดำหรือเพื่อนร่วมเดินทาง พูดเหน็บได้ หรือไม่ก็ทำให้สัตว์ป่าตกใจวิ่งหนีไปได้ หรืออาจทำอันตรายได้
วันที่ 4 : ย้ายที่เที่ยว มุ่งหน้าสู่ Cape Town Game drive #4 ตื่นเช้าปกติ มารอขึ้นรถตอน 05.30 น. เจอสิงโตชุดเดิม ถือว่าเหนจนชินแล้ว คนขับรอบนี้เฉยๆ ไม่ค่อยแนะนำอะไรมาก หลังจากกลับมาที่รีสอร์ท ก็รีบไปกินข้าวแต่งตัว ออกมาเช็คเอ้าท์
**ค้นพบว่า safari trip จะดี ต้องมีคนขับที่เก่ง**
**เนื่องจากว่า ไม่ได้เช็คให้ดีว่าได้ game drive กี่ครั้ง (ในแพ็คเกจของเราได้ 2 ครั้ง) พวกเรานั่งเกินไป 2 ครั้ง โดนเพิ่มเงินไป คนละ@840 ... ยิ้ม!!**
รถมารับ 10 โมง ถึงสนามบิน 12.45 (เร็วมาก) เตรียมตัวไป Cape Town
**ต่อเนื่องจากวันแรกที่มาถึงโจเบิร์ก แล้วมีปัญหาเรื่องซิมการ์ดและไม่ได้เงินทอนคืน ... ไปสนามบิน ต้องไปทวงตังคืน ซึ่งไม่มีปัญหาอะไร แค่เดินเข้าไปยื่นใบ tax invoice แล้วยืนยัน (ว่าเมิงไม่ทอนเงิน!!) มองแรง 1 ครั้ง พร้อมกล่าว thankssssss**
นัดเจอเพื่อนที่โจเบิร์ก น่ารักมาก เม้ามันสุด
ยังคงเจอปัญหาอย่างต่อเนื่อง เราใช้ self check-in ที่เครื่อง โดยทั้ง 2 คนเช็คได้แต่เรา stand-by ticket ซึ่งแปลกมาก เพราะเช็คอินพร้อมกัน ทั้งนี้เนื่องจากได้เพื่อนช่วยคุยให้จึงได้ตั๋วภายในทันที (โชคดี!)
เดินทางในประเทศด้วยสายการบิน South Africa Airline
ไปถึง Cape Town ให้รถของโรงแรมมารับ (ค่าบริการ R300)
มาถึงโรงแรมกลางใจเมือง st.gorges hotel มีวิวรอบๆ ข้างให้ดู พระอาทิตย์ตกตอน สามทุ่ม สามารถมองเห็น table mountain ได้จากทุกมุมเมือง ในเมืองร้านค้าจะปิด 18.00 น. สภาพรอบข้างดูไม่ค่อยปลอดภัย มีคนมาเดินขอเงิน แต่จะไม่โดนตัว
วันที่ 5 : ชมเมือง Cape Town กินข้าวเช้า พร้อมจองกิจกรรมต่างๆ ค่ากิจกรรม เดินชมเมืองตอนเช้า ดีกว่าตอนกลางคืนเยอะมากๆ ไป green market ถ้าไม่ซื้ออย่าจับ ถ้าพ่อค้าเรียกนายครับๆ ให้ยิ้มแล้วเดินจาก ถ้าอยากได้ให้ถามราคาแล้วเดินหนี .. จบด้วยการต่อราคาขั้นสุด เดินไปเรื่อยๆ เจอสวน company's garden และไปแวะ ร้านกาแฟชื่อดัง "Bean there coffee company"
แวะไปถ่ายภาพเก๋ๆ กับหมู่บ้านมุสลิม ที่ Bo-Kaap, The Colorful Neighborhood in Cape Town
พวกเราเดินหาร้านกินข้างทางไปเรื่อย จนไปถึง VA water front (เดินไกลมาก) ฝรั่งเยอะ ของเยอะ เดินวนดูนู่นนี่ไปรอบๆ ไม่พลาดที่จะชิมเนื้อม้าลายด้วย
และต้องไม่พลาดถ่ายมุมประชานิยมนี้
วันที่ 6 : ไปหาฉลามขาว Shark cage dive คนละ @R2150 มีรถมารับที่โรงแรมตั้งแต่ 9 โมงเช้า ตรงไปที่จุดให้บริการ ซึ่งจะอธิบายว่าต้องปฎิบัติตัวยังงัยบ้างเมื่อเอาตัวเข้าไปในกรง ซึ่งกว่าจะได้ขึ้นเรือออกจากฝั่งไปก็ตอนบ่ายโมง และกลับเข้าฝั่งตอน ห้าโมงเย็น กลับถึงโรงแรมเพลียมาก ทั้งนี้ ประสบการณ์ที่ลงไปในกรงดูปลาฉลามนั้น ถือเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ดี มีความตื่นเต้นสูงมาก ในขณะที่ด้านข้างก็จะมีเศษเนื้อปลาแซลมอลและเลือดปลาลอยอยู่ใต้จมูก เป็นการดึงดูดปลาฉลามเป็นอย่างดี ธรรมชาติที่นี่ยังสมบูรณ์ และน้ำเย็นมากๆ ลงไปเพียง 15 นาที ขึ้นมาเป็นหวัดกันทุกคน ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดมาาาาาาก
ทุกคนพร้อมลงกรงแล้วจ้า
แค่เห็นบนน้ำก็ฉี่จะแตกอยู่แว้ว
วันที่ 7 : เที่ยวนอกเมือง เดินไปจ่ายค่าตั๋ว cable car คนละ R765 และ sightseeing bus คนเยอะน่าดู (แนะนำให้ซื้อของกินติดกระเป๋าไปด้วย)
นั่ง sightseeing bus สีฟ้า ไป Kirstenbosch national botanical gardens ค่าเข้าสวน คนละ @R60 เดินเข้าไปตามแผนที่ เค้าบอกว่าตรงนี้คือไฮไล้ท์ เป็นสะพานที่เหนมุมสูงของสวน Kirstenbosch Centenary Tree Canopy Walkway พอออกจากตรงนี้ เดินไปเรื่อยๆ ชมสวนไม้นานาพันธ์ุ
ออกมาแล้วขึ้นสายสีม่วง ไปไร่ไวน์ ลงจุดแรกที่เป็นตำนานไร่โอ๊ค groot constantia wine estate ไปจุดต่อไปคือ ร้านไวน์ชื่อดัง eagle's nest แต่ไม่มีไรกินเลย มีแต่ไวน์อย่างเดียว
Hop in and Hop off ไปตามจุดต่างๆ พวกเราวางแผนว่าจะไป Imizamo Yethu แต่หิวมาก เลยนั่งตรงไปที่ Hout Bay หาดคนคนท้องถิ่น ร้านอาหาร fish&chip ชื่อดัง Mariner's whraf ยืนต่อแถวไปชั่วโมง และแย่งที่นั่งกะคนท้องถิ่นอีก 45 นาที กินอิ่ม ชมบรรยากาศจนเต็มที่แล้ว ขากลับนั่งสายสีฟ้าผ่านหาดต่างๆ ให้ดูวิวด้านซ้ายมือไปตลอด สวยงามสุดๆ ถ้าคนอื่นมีเวลาจะแนะนำให้ไปแวะ Camp Bay (เหมือนพัทยา แต่ผู้คนที่หาดนั้น ดูเพลินตามาก)
วันที่ 8 : ขึ้นเขาและไปเคาท์ดาวน์ วันนี้ขึ้น table mountain โดย cable car (แนะนำให้ซื้อออนไลน์ผ่านเวปมาก่อน ไม่งั้นต่อคิวยาว) ไปขึ้นรถสายสีแดง ตรงไปที่ cable car เลย (แนะนำให้ซื้ออาหารขึ้นไปกินด้วย ข้างบน คนเยอะมากๆๆๆๆๆ) หลังจากที่ต่อคิวแป้บนึง จนท จะถามเราว่า จะกลับกี่โมง (เราบวกเวลาไป 2 ชม)
พอขึ้นมาแล้ว จะเห็นวิวมุมบนที่สวยงามมาก ถ่ายรูปทุกมุมที่มี ภายใต้แดดนรกแตกแผดเผาที่สุด (แนะนำให้ถือร่มกัน UV + ทาครีมกันแดด) ใช้เวลาเดินให้ทั่ว มีหลายมุมที่น่าสนใจ
ตอนขากลับมี 2 ทางเลือก 1.ไปตามเวลาของบัตรคิว 2.กลับก่อนเวลา ให้ไปยืนต่อแถวรอ ... ต้องทำใจว่าคนเยอะมาก แย่งกันขึ้น cable car เป็นประเทศโลกที่ 4 เลย
ตอนกลางคืนไปเค้าดาวน์ที่ V&A waterfront มีดนตรีสดและนักเต้นแต่งชุดสีสันสดใส ยิ้มแย้ม และผู้คนมากมาย งานเรียบๆ เปิดเพลงเต้นกันนิดหน่อยและมีเวทีการแสดงซึ่งคนเยอะและเบียดมาก
ข้อควรระวัง
หากว่าไปที่มีการจัดงาน คนเบียดๆ ให้เก็บมือถือ และ เงินให้ดี เพราะมีพวกล้วงกระเป๋าเต็มไปหมด
ที่นี่ เค้าไม่ให้ถือเครื่องดื่มแอลกฮอลล์ ออกนอกพื้นที่ ดังนั้นจะไม่เห็นคนเดินเมา
วันที่ 9 : เก็บตกสถานที่ต่างๆ วันนี้ซื้อทริป 1 วัน peninsula & cape of good hope - day trip ราคาคนละ @990 ตารางวันนี้ไปเก็บตกหลายจุด
Cape point - กินข้าวที่นี่เล็กน้อย เวลาในการแวะที่นี่น้อยไป มีเวลาไม่มากพอที่จะเดินขึ้นไปบนสุดยอดตรงนั้น ถ้ามีเวลาที่สามารถมาเองได้ ควรเดินจากจุดนี้ไป Cape of Good Hope
ตอนแรกเราหาเส้นทางฟรีไปดูเพนกวิ้น ปรากฎว่าเค้าปิดไปแล้ว ห้ามเข้าเส้นทางฟรี เลยต้องเดินเข้าไปถึงทางเข้าทะเล (ค่าเข้า @R70 เท่ากันกับทางเข้าปกติ) จะเข้าถึงเพนกวิ้นได้ดีกว่า เพราะจะเห็นเพนกวิ้นที่ริมทะเลแบบใกล้ชิดทีเดียว
วันที่ 10 : ชิลในเมือง ชิมน้ำองุ่น
เช้านี้เดินชิล เลยเดินมาช้อปของฝากที่ Green Market Square - เดินดูรอบๆ แล้วของเหมือนๆ กัน ถ้าถูกใจให้ถาม แล้วเดินต่อ แล้วค่อยต่อราคา ให้เดินดูไปเรื่อยๆ คุยกะพ่อค้าแม่ค้าได้ แต่อย่าไปหลงกลเค้าล่ะ
ช่วงบ่ายนั่งรถสายสีม่วงไปชิมไวน์ R95 ชมทัวร์รอบๆ สวนไวน์อายุกว่า 100 ปี และชิมไวน์ 5 ชนิด ได้แก้วไวน์ฟรีกลับบ้านด้วย (มีคนเมาสองคนเต้น milk shake ด้วย) แล้วแวะกินข้าวแก้เมาไวน์ ด้วยอาหารจานเดียว ซึ่ง พนง. ดูจะไม่ค่อยปลื้มกับ สามคนจีนและสปาเก็ตตี้ 1 จาน ทำให้เราต้องรีบกินรีบไป
ตบท้ายไปกินอาหารเย็นที่ Marco's Restaurant เป็นร้านอาหาร original african มีดนตรีทำนองสนุก อาหารหลายแบบ และบริการสุดแสนเลิศ
**ก่อนหน้าที่จะมาร้านนี้ ได้อ่านรีวิวจาก trip advisor มากมาย ปรากฎว่าได้คอมเม้นแง่ลบมากกว่าแง่บวก ด้านความช้าของบริการ และ พนักงาน .. ซึ่งพวกเราตัดสินใจกันอยู่นาน จนสุดท้ายลองเสี่ยงดู**
ในความเป็นจริงแล้ว เราได้รับบริการที่ดี พนักงานมาอธิบายเมนูอาหารต่างๆ ให้ฟัง พร้อมทั้งเร่งความเร็วการให้บริการ โดยรวมถือว่าดีทีเดียว
หน้าตาอาหารพื้นเมืองตัวอย่าง เป็นการผสมผสานเนื้อสัตว์ต่างๆ ให้ได้ลิ้มรสได้ทั่วๆ ทั้งป่า
วันสุดท้าย : ให้เวลากับการหาซื้อของฝาก ตื่นเช้ามา ก็เดินไป Green Market เผื่อเจอของฝากที่นี่สนใจ สรุปไม่มีจ๊ะ เลยต้องเดินไปซุปเปอร์มาเก็ตหาซื้อเนื้อแปลกๆ ไปฝากเพื่อนและครอบครัวที่กรุงเทพ ... (ตอนเอากลับมาฝาก ไม่มีคนกินจ้า .. เยี่ยมมาก เนื้อแพงด้วย ซึ่งเราก้อไม่กิน ...(-_-;)...)
ตลาดที่นี่ขายของ local ที่บางอย่างก้อผลิตจากจีน ร้านหน้ากากน่ากัวสุด
สรุป
ทริปนี้ใช้เวลา 12 วันถ้วนในการเดินทางโจเบิร์กและเคปทาวน์ โดยกิจกรรมต่างๆ ที่นี่น่าสนใจมาก ถ้ามีเวลาอยากจะใช้เวลาที่ซาฟารีมากกว่านี้ จะได้ดื่มด่ำและถ่ายภาพมากกว่านี้ นอกจากนี้ กิจกรรมที่เคปทาวน์จริงๆ แล้วมีมากมาย อยากใช้บริการหมดเลย ถ้าใครมีเวลามากพอ (และเงินในกระเป๋าเพียงพอ) ก็ไม่ควรพลาดนะ อาหารการกิน หาไม่ยาก แต่ที่ลำบากคือเค้าปิดเร็วมาก คนไทยกินทั้งคืนไม่ชินกับการปิด 18.00 น. ของร้านอาหาร (ที่ไม่ใช่ fast food) ผู้คนช่วงเวลากลางวัน ไม่น่ากลัวเท่ากลางคืน แนะนำให้อย่าเดินคนเดียวในเวลากลางคืน นอกจากนี้ คมนาคมที่มี ค่อนข้างสะดวก
ผู้คน (ที่มีการศึกษา) รอบๆ ตัว ที่บริการให้ 8/10 กิจกรรมต่างๆ ทั้ง ซาฟารี ขึ้น Table Mountain เกาะแมวน้ำ ดำน้ำปลาฉลามขาว ฯลฯ ให้ 10/10 (ความชอบส่วนตัว เนื่องจากยอมรับว่าเค้าดูแลธรรมชาติเค้าอย่างดี) คมนาคมต่างๆ บริการดี มีระบบการจัดการที่ดี ให้ 9/10 ภาพรวมของทริปนี้ ให้ 9/10
ขอบคุณ ทุกสายตาที่อ่านมาถึงตรงนี้ทุกคอนเม้นที่เสียเวลาพิมพ์ ติ-ชม หากมีโอกาสในการเที่ยวครั้งต่อไป จะมาแชร์ประสบการณ์ในมุมต่างๆ ให้อ่านกันอีกนะฮะ
- ขอขอบคุณเป็นพิเศษ -
ขอบคุณเพื่อนร่วมเดินทางที่ไม่งอแง ตอนเราพาหลงทาง
ขอบคุณที่ไม่ตีกัน เวลาหิวจัดหรือร้อนจัด
ขอบคุณที่ไปด้วยกันได้ดี ถึงแม้ว่าจะเดินทางสมบุกสมบันไปหน่อย
ขอบคุณเพื่อนใหม่ ที่โชคชะตาพาให้เรามาเจอกัน จนรู้จักกัน
ขอบคุณความโชคดีทุกช่วงเวลาแห่งการเดินทางของพวกเราให้ทุกกิจกรรมมีแต่เรื่องดีๆ เกิดขึ้น
ทุกการเดินทาง มีเรื่องราว ให้เล่าขาน นานเท่านาน
แนะนำแบบสั้นมาก
- จองที่พักออนไลน์ก่อน แล้วค่อยมาจองกิจกรรมรายวัน ควรใช้เงินสด มากกว่าบัตรเครดิต - อากาศที่ SA เดาไม่ได้เลย ควรเอาเสื้อกันหนาว ร่ม เผื่อไว้ - ฤดูร้อน น้ำทะเลนั้นเย็นกว่าฤดูหนาวมากนัก - เดินตอนกลางคืนในเมืองทั้ง โจเบิร์ก และเคปทาวน์ ไม่ควรเดินคนเดียว เด็ดขาด - ถ้ามีใครมาชวนคุย ชี้ทาง แนะนำ ขอให้มั่นใจว่าเป็น เจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบ หรือ พนง ที่ทำงานอยู่ที่นั่น เท่านั้น!! - การไป district 6 และ imizamo yethu ดูน่ากัว แต่ไม่น่ากัวอย่างที่คิด (ควรไป) - เดินทางด้วยรถประจำทาง หรือ รถไฟ ต้องระวังตัวพิเศษนะ - การต่อสินค้าที่ SA ควรถามๆ ชี้ๆ อย่าได้ไปจับ ไปลองของเค้าเชียว ไม่งั้นพ่อค้า/แม่ค้า จะด่าจิงๆ จังๆ มาก น่ากัว - จองที่พักออนไลน์ก่อน แล้วค่อยมาจองกิจกรรมรายวัน ควรใช้เงินสด มากกว่าบัตรเครดิต
บันทึกการเดินทาง 15 Jan 2017
ปิ๊กมี่ หลงไปไหน
Комментарии