“ทุกการเดินทาง ทำให้เราค้นพบสิ่งใหม่ๆ ไม่รู้จบ เหมือนเพิ่มเนื้อหาบทใหม่ ให้ชีวิตมีคุณค่ามากขึ้น มีชีวิตชีวามากขึ้น” - Pikmy -
จุดเริ่ม
บทนี้เราพาตัวเองข้ามไปอีกขอบโลก ไปดู ไปรู้ ไปเห็น สิ่งที่ “เค้าบอกว่า” อันตรายและไม่ปลอดภัย เริ่มค้นข้อมูลการเดินทางตั้งแต่ปลายปี 2561 ยาวๆ มา ตั้งจุดเริ่มต้นในใจ คือ ป่าแอมะซอน จนค่อยๆ กลายเป็นหาที่เที่ยวภายในทวีปอเมริกาใต้เลยละกัน ไหนๆ ก็ต้องบินไกล 40 ชม. ต้องคุ้ม
หลังจากที่ได้ตั้งประเทศเป้าหมาย พวกเราแก๊ง power puff ก็ทยอยเก็บข้อมูล ดูรายละเอียดเดินทาง หาที่พัก เปรียบเทียบราคาสายการบิน จองตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ต่อประเทศนั้น ข้ามประเทศนี้ ค้างประเทศโน้น รวมถึงจองทัวร์ต่างๆ เช่น ขึ้นเขา เดินป่า ตะลุยน้ำแข็ง ค้นหาเมืองลับแล เป็นต้น ซึ่งใช้พลังในการทำรายละเอียดของทริปค่อนข้างมาก เพราะเรามีเวลาไม่เยอะและที่สำคัญคืองบประมาณไม่มากนัก
การเดินทางของเรารวมทั้งสิ้น 25 วัน ผ่าน 3 ประเทศหลัก คือ บราซิล อาเจนติน่า เปรู โดยมี 9 จุดหมายปลายทาง ได้แก่ รูปปั้นพระเยซูคริสต์ Christ the Redeemer / หน้าผาใจถึง pedra do telegrafo / น้ำตกอิกวาซู ทั้ง 2 ฝั่ง (บราซิล และ อาเจนติน่า) / ธารน้ำแข็งPerito Moreno Glacier / ภูเขา Fitz Roy / เมืองสาบสูญแห่งอินคา Machu Picchu / ภูเขาสายรุ้ง Rainbow Mountain / ป่าแอมะซอน Amazon rainforest นอกเหนือจากจุดเที่ยวหลักนี้แล้ว ยังได้แวะเที่ยวตามเมืองที่พักต่างๆ ทั้งเมืองเก่า เมืองใหม่ ตามแต่จะหลงไปเจอ ช่วงเวลาที่วางแผนแค่คิดก็ตื่นเต้นกับการเดินทางครั้งนี้มาก
เตรียมตัว
บราซิล ต้องอ่านข้อมูลเยอะๆ ไม่แน่ใจว่าควรซื้อทัวร์หรือว่าวางแผนเที่ยวเอง เพราะอ่านรีวิวไหน ก็จะไปในทางแง่ร้ายทั้งนั้น ทุกรีวิวบอกว่ามีคนจ้องขโมยของตลอดเวลา ให้ระมัดระวังตัวทุกก้าว เอกสารการเดินทางควรเตรียมเผื่อไว้สองชุด ส่วนการเดินทางในเมืองที่เราเลือกเป็น UBER อย่างเดียว (แนะนำให้ปริ้นเอกสารสถานที่เราจะไป ให้แท๊กซี่ไป ป้องกันการยื่นมือถือให้แท๊กซี่)
อาเจนติน่า เตรียมเสื้อหนาว (ชนิดกันลมกันฝนได้) ครีมกันแดดและรองเท้าเดินเขา เนื่องจากเราวางแผนไปเดินภูเขาน้ำแข็งและไปเดินเขา Fitz Roy ซึ่งใช้การสื่อสารกับ บ.ทัวร์ผ่าน whatsapp เป็นหลักและคนอาเจนฯ จะใช้เวลานานหลายวันในการตอบข้อความกลับ😌
เปรู อ่านข้อมูลเยอะเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว ไม่วายให้ระวังตัวเรื่องคนท้องถิ่น รวมถึง เอเจนทัวร์ต่างๆ ที่ต้องถามให้ดีว่า ไปนัดพบตรงไหน เพราะว่าคนที่นี่ตอบอีเมลช้ามากเช่นกัน
อเมซอน ต้องไปฉีดป้องกันไข้เหลือง (ค่าฉีดกันไข้เหลือง 1,250 บาท) รวมถึงฉีดกันไข้มาเลเรียเผื่อไว้ (ที่ รพ.มหิดล แผนกเวชศาสตร์เขตร้อน ราคา 2,250 บาท) และแนะนำให้ถือเอกสารการฉีดวัคซีนติดตัวไปด้วย การเตรียมตัวเยอะหน่อย ทั้งเสื้อผ้า เสื้อกันฝน อุปกรณ์จำเป็นส่วนตัว สเปรย์ป้องกันแมลงนานาชนิดในป่า (ได้ทดลองกับตัวเองแล้ว ยี่ห้อที่อยู่ใน Boots กันยุงได้ดีสุด) รวมถึงร่างกายที่แข็งแรงพร้อมรับสภาพอากาศที่แสนจะแปรปรวนด้วย ส่วนบริษัททัวร์เราเลือกที่นี่ เพราะพูดภาษาอังกฤษได้ดี ราคาน่ารัก http://www.amazongoldensnakeiquitos.com/
*หมายเหตุ* ทั้ง 3 ประเทศไม่ต้องทำวีซ่าฮะ และน้อยถึงน้อยมากๆ ที่คนท้องถิ่นจะใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร ขอให้โหลด app แปลภาษาต่างๆ ติดมือถือไปด้วย จะช่วยได้มากๆ แต่ก่อนที่จะใช้ app แปลภาษาได้ ต้องเตรียมตัวท่องบทพูดไปซื้อซิมที่นั่นก่อน (หรืออีกชื่อให้เรียก chip card) ที่สำคัญคือ ต้องใจเย็นและพกแต้มบุญไปเยอะๆ ในการสื่อสารกับคนท้องถิ่น
เดินทาง
ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ด้วยสายการบิน British Airways เครื่องดี ที่นั่งกว้าง อาหารดี ตรงเวลา บริการประทับใจ ทำงานเร็ว ยิ้มแย้มดี (ไม่ได้แย่อย่างที่หลายคนบอกมา)
นั่งยาว 17 ช.ม. (Bkk-Heathow-Paris) ไปแว้บที่ฝรั่งเศส มีโอกาสได้ออกมาด้านนอกเพื่อดูเส้นทางขึ้นรถไฟไปโรงแรมที่พักตอนขากลับ เสร็จแล้วเดินกลับมาใช้เครื่องเช็คอิน ทำแทคกระเป๋าเอง
สบาย ไม่ต้องใช้ พนง. ทำทุกอย่างได้เร็วมาก เครื่องโอเค ไม่มีอาหาร เดินดูรอบๆ แล้วบิน Air France ไปต่อที่อัมสเตอร์ดัม
ต่อเครื่องที่อัมสเตอร์ดัมด้วย KLM (ควรเดินไปเช็ค Gate ก่อนทำอย่างอื่น เพราะทางไปสำหรับ Transit flight คนเยอะมากๆๆๆๆ ) บินยาวๆ 15 ช.ม. ไปบราซิล เครื่องดี อาหารดี แต่แอร์แอบขี้เหวี่ยงนิดหน่อย ยืนประกาศบอกให้ ผดส. ปิดที่วางกระเป๋าบนหัว ช่วยกันดูแลตัวเองด้วยค่า
Day 1 in Rio, Brazil
ถึงสนามบินที่ ริโอ ประเทศบราซิล ช่วงค่ำๆ การทำงานของ ตม.รวดเร็วดี ร่างกายเพลียแต่ตื่นเต้นพร้อมเที่ยวแล้ว ตอนเดินออกมาเราแลกเงินเล็กน้อยให้พอติดตัวตรงทางออก ( ค่าแลกเปลี่ยน ที่สนามบิน 100$ = 330 R$ ไปแลกข้างนอกได้เรทดีกว่ามาก) หยิบกระเป๋าเดินออกมา เราลองเดินเช็คราคาแท๊กซี่ในสนามบิน เปรียบเทียบกับ Uber พบว่า Uber มีราคาถูกกว่าบริษัทแท๊กซี่เยอะทีเดียว (ให้ระวังตัว อย่าหลงเชื่อคนที่มาบอกเราว่าเป็น Uber)
แนะนำ ไปที่ชั้น 2 Departure hall ที่นี่มีที่จอดสำหรับ Uber point โดยเฉพาะ
จากสนามบินไปถึงโรงแรม Copacabana sol hotel ประมาณ 30 นาที เราเลือกโรงแรมนี้เพราะว่าราคาไม่แพงและอยู่ใกล้หาด ภาพรวมโอเค ให้ 3 กระโหลก อาหารเช้าไม่แย่ แต่ไม่มีน้ำให้ ตอนมาถึงประมาณ 3 ทุ่มกว่า วางกระเป๋าและเดินออกมาชมเมืองครู่นึง แวะกินข้าวข้างทางที่ยังไม่ปิด และใช่ฮะ เค้าไม่พูดภาษาอังกฤษกัน กินเสร็จแล้วกลับมาโรงแรมเตรียมตัวขึ้นเขาพระเยซู วันพรุ่งนี้เช้า
Day 2 in Rio, Brazil
ตื่นเช้าหน่อย เดินไปสูดอากาศหน้าหาด Copacabana Beach อากาศเช้านี่ดีจิงจัง เดินเล่นซักพักก่อนกลับที่พักเพื่อขึ้นเขาไปรูปปั้นพระเยซูคริสต์ Christ the Redeemer
เรานั่ง Uber ขึ้นไป ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง เมื่อถึงตีนเขาให้เดินเข้าไปในตึกด้านในเรียกว่า ด่าน Paineiras Corcovado เพื่อเอา voucher ขึ้นรถแวน ง่ายมากๆ
หากไม่ได้จองตั๋วล่วงหน้า ก็มาซื้อตั๋วขึ้นหน้าทางเข้าแต่อาจจะเจอปัญหาทั้งคิวยาวและพนักงานที่สื่อสารไม่รู้เรื่อง เราเลือกซื้อตั๋วออนไลน์ซึ่งมาถึงก่อนได้ขึ้นก่อนไม่ต้องรอคิว และออกเดินทางแต่เช้าเพราะแสงแรกจะขึ้นตรงหน้าพระเยซู ได้ดูวิวที่สวยงามมาก
แนะนำ
ถ้ามีเวลาทั้งวันก็อยู่ดูพระอาทิตย์ขึ้นกับพระอาทิตย์ตกที่นี่ได้วิวที่สวยสะพรึงแน่นอน
อย่าลืมเช็คตารางเวลาของรถแวนด้วย ไม่อย่างนั้นจะต้องยืนยิ้มแห้งอยู่ข้างบนแน่ๆ
จองตั๋วออนไลน์ล่วงหน้าที่ https://www.paineirascorcovado.com.br/
เช็คพยากรณ์อากาศก่อนเดินทาง เพราะขึ้นไปเจอเมฆหมอกพายุฝนลมกระหน่ำจะไม่สนุกแน่นอน
ควรพกสเปรย์กันแมลงเพราะข้างบนนั้นแมลงเยอะมาก
เดินถ่ายรูปจนทั่วแล้ว ก็ลงไปต่อแถวขึ้นรถแวนกลับ ซึ่งตอนขากลับเราไม่คิดว่า Uber จะไม่ขึ้นมาที่นี่ ดังนั้นจึงไม่ได้เตรียมตัวหาตั๋วขาลง และด้วยความงงงวยหาทางกลับไม่ถูก ต้องเดินไปหาพนักงานที่พูดภาษาอังกฤษได้ (ซึ่งโชคดีมากเจอพนักงานคนนึงพามากดตั๋วลงเขาให้) ตอนขาลง นั่งรถแวนกลับไปที่ copacabana (คนใช้ภาษาอังกฤษน้อยมากๆ ควรเตรียมใจเย็นๆ ในการสื่อสาร)
ยังไม่พอ เรายังคงไม่รู้ว่าในวันอาทิตย์ ร้านค้าทั่วไปปิดหมด ยกเว้นร้านขายยา และ super market เลยตัดสินใจเดินไปรอบๆ เมืองเจอตลาดนัดรอบสวน Square Serzedelo Corrêa ถือว่าได้ฟีลเป็นคนพื้นที่
มีขายของหลากหลายมาก ตั้งแต่ของสดยันของฝากนักท่องเที่ยว และที่สำคัญรับบัตรเครดิตจ๊ะ
วันนี้ เราวางแผนว่าต้องหาซิมการ์ดมาใช้เพราะสำคัญมาก ซึ่งร้านค้าทั่วไปไม่มีซิมสำหรับคนต่างชาติ (เพราะต้อง activate ด้วย) จึงต้องไปห้าง วันอาทิตห้างเปิดทำการ 3 โมงเย็น การซื้อซิมที่นี่ ยุ่งยากมาก มี TIM Mobile Shop ที่ Shopping Rio Sul เท่านั้น ที่มี prepaid sim card (ที่นี่เรียก chips)
และยากที่สุดคือพนักงานไม่ได้เป็นมิตรขนาดที่พยายามใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารกับลูกค้าเลย การซื้อซิมที่นี่เพียงแค่เตรียมพาสปอร์ตและแต้มบุญเยอะๆ พร้อมกำเงินสดไปเพียงพอแล้ว หากว่าไม่มีเงินสดฝั่งตรงข้าม TIM เป็นร้านแลกเงินที่ให้เรทดีทีเดียว
แนะนำ
ควรหาที่แลกเงิน และ ซิมการ์ดตั้งแต่มาถึง
ในความเป็นจริงบริษัท Claro มีคลื่นครอบคลุมเยอะสุด แต่เนื่องจากแต่ละประเทศไม่คุยกัน เลยทำให้ไม่สามารถเชื่อมต่อกัน
เราเชื่อว่า ยังมีอีกหลาย service provider ที่มี Pre-paid chip card ให้สำหรับต่างชาติ ติดอย่างเดียว คือ พนักงานไม่สามารถอธิบายเป็นภาษาอังกฤษได้
ที่เราเลือก TIM เพราะว่า มี prepaid เจ้าเดียว ณ ตอนนั้น
หลังจากปวดหัวกับการซื้อซิมการ์ด ก็เดินหาของกิน อาหารในบราซิลโดยมาก จะเป็นหมู/ไก่/เนื้อ หมัก หรือ ทอด กินกับเฟรนฟราย ผัก และ ถั่วดำ (บางร้านราดใส่ข้าวเลย หรือ บางร้านใส่แยกมา) รสชาติหลักของอาหารที่นี่ คือ เค็มกับเค็มมาก
เดินทั่วเมืองจะเห็นเครื่องดื่มที่ทุกร้านแนะนำ คือ Açai เหมือนลูกพรุนปั่น อร่อยดี
หลังจากเสร็จกิจซื้อซิมและเติมพลังจากข้าวเค็มข้างทางแล้ว ก็ไปบันไดกระเบื้องโมเสกหลากสี Escadaria Selarón หรือ Lapa Steps อีกแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาด ที่มาของแหล่งท่องเที่ยวนี้ เริ่มจากศิลปินชาวชิลี ชื่อฆอร์เฆ่ เซลารอน (Jorge Selaron) เขาตกแต่งบันไดหน้าบ้านด้วยแผ่นกระเบื้องสี ตั้งแต่ปี 1990 และกระเบื้องหลากสีก็ถูกนำมาจากหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งตอนนี้มีมากกว่า 2,000 แผ่น
การเดินทางมาตรงนี้ มาได้ 3 วิธี
1. รถไฟใต้ดิน: ลงที่ Gloria แล้วเดินไปทางถนน Da Glória จะเจอถนน Rua da Lapa เดินไปจนถึงสี่แยกให้เลี้ยวซ้ายเข้าถนน Joaquim Silva แล้วเดินตรงไปตามทางก็จะถึง บันได Escadaria Selaron อยู่ทางซ้ายมือ ระยะทางประมาณ 700 เมตร
2. รถบัส : ให้ลงที่ป้าย Rua Da Lapa proximo ao 50 ให้เดินผ่านโบสถ์ไปเข้าถนน Teotônio Regadas ตรงไปจนสุดทางก็จะถึง
3. Uber : ปักหมุดที่ Escadaria Selaron ต่อเดียวถึง ซึ่งเราเลือกวิธีนี้
ใช้เวลาถ่ายรูปตรงนี้พอสมควร ซึ่งตอนขากลับวางแผนว่าจะนั่งรถใต้ดินแต่หาไม่เจอ อีกทั้ง Uber ก็ไม่รับ จึงต้องเดินไปหาจุดขึ้นรถสะดวก ซึ่งต้องเดินผ่านหลายพื้นที่ที่แอบน่ากลัวปนแปลกตา จาก Escadaria Selarón เดินออกมาบริเวณด้านนอก ค่อนข้างน่ากลัว ทั้งผู้คนและสถานที่ พวกเราระวังตัวขั้นสุด
หลังจากเที่ยวมาทั้งวัน ก่อนกลับที่พักก็แวะซื้ออาหารเที่ยงสำหรับวันพรุ่งนี้ ตามแผนที่วางไว้ คือ ต้องเดินขึ้นเขาทั้งวัน
Day 3 in Rio, Brazil
เราซื้อทัวร์ปีนเขา Pedra do Telégrafo (คนละ 30 $) จุดถ่ายรูปบนผา ทัวร์นัด 7 โมงเช้า ซึ่งก่อนถึงเวลานัดบริษัททัวร์โทรมาบอกว่าอากาศแปรปรวนมีฝนตก อาจขึ้นไปไม่ได้ พร้อมคืนเงินให้เราเต็มจำนวน แต่เรายืนยันว่าจะไป (กลัวไม่รู้จะไปเที่ยวไหน) รอจนถึงเวลานัด เมื่อไกด์มาถึงก็แนะนำตัวนู่นนี่ และพูดเก่งมาก ซึ่งเป็นเรื่องดีที่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างดี ทำให้ไม่เบื่อระหว่างเดินทาง เราถามนู่นนี่เรื่อยเปื่อยตลอดทาง ระหว่างทางมีฝนตกสลับกับแดดออก ในใจก็ภาวนาว่ามากับดวงยังไงก็ต้องได้ขึ้นเขาแน่นอน
เมื่อไปทางปากทางขึ้นฟ้ายังขมุกขมัวอยู่ แต่ใจก็สู้ ซึ่งไกด์บอกว่าหลังจากนี้หันหลังกลับไม่ได้แล้วนะ แล้วพาเดินขึ้นไป ทางขึ้นเขาเป็นทางชันแบบโขดหิน เดินขึ้นไปตามทางไม่ทันได้สังเกตว่าอากาศดีมาก สูดหายใจได้เต็มปอด
เมื่อถึงจุดถ่ายรูปพวกเราโชคดีที่ไปถึงแล้วอากาศดี ขึ้นไปด้านบนใช้เวลา 40 นาทีเดินป่าลาดชัน วิวหลักล้านมาก ไกด์มืออาชีพสุดๆ พาเดินพร้อมชี้นกชี้ไม้อธิบายต้นไม้นานาพันธุ์ ตอนที่เราไปตรงจุดถ่ายรูปยังไม่มีคนเยอะมาก พวกเราโพสท่าถ่ายได้อย่างเต็มที่ ไกด์บอกว่าปกติทั่วไปเค้าจะอยู่ถ่ายรูปแค่ 10 นาที แต่พวกเราใช้เวลาไปพักใหญ่เลยและไกด์คอยถ่ายรูปตามใจเรามาก พอเริ่มถ่ายก็เริ่มสนุก ไกด์ก็อยากสนุกไปด้วย จึงได้ภาพอย่างที่เห็น
เมื่อเราถ่ายรูปเสร็จก็ประจวบเหมาะกับเมฆหมอกมาบดบังพอดี (ทริปนี้ใช้แต้มบุญเยอะมากๆ)
หลังจากนั้นไกด์บอกว่าจะไปกินเที่ยงที่หาด (หาอาหารกินเอง) ซึ่งก็ตลกๆ นั่งดูทะเลไปซักพักฝนตกลงมา ทำให้กินเที่ยงที่หาดไม่ได้
เลยตรงกลับโรงแรม บอกลาไกด์เรียบร้อยก็นั่งดูแผนที่ว่าจะไปไหนต่อ หลังจากนั้นเราค้นพบว่า มีสวนสาธารณะเก่าด้านในมีคาเฟ่เก๋ๆ ก็ลองไปดู ด้านบนเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะสวยดี แต่ไม่มีอะไรมาก ถ้าอยากขึ้นไปด้านบนต้องซื้อสินค้า (อะไรก้อได้ ขั้นต่ำ 15 R$)
ในระหว่างที่เดินเล่นตรงคาเฟ่ มีเด็กๆ ท่าทางจะชอบเอเชีย วิ่งมาขอถ่ายรูปกันเต็มเลย มีต่อแถวรอถ่ายรูปด้วย รู้สึกตลกดี
ภาพรวมของสถานที่นี้ แค่มาเยือนก็โอเค เราเดินถ่ายรูปรอบๆ แล้วตัดสินใจกลับโรงแรม เพื่อเตรียมตัวบินไปที่น้ำตกอิกวาซู วันพรุ่งนี้แต่เช้า
Day 4 in Foz do Iguaçu, Brazil
วันนี้ เราบินไปเมือง Foz do Iguacu แต่เช้า เพื่อเที่ยวน้ำตกอิกวาซู น้ำตกขนาดใหญ่ที่คาบเกี่ยวบราซิลและอาเจนตินา และเราเลือกที่พัก Hotel Colonial Iguacu ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ทั้งสนามบิน และเป็นทางผ่านไปน้ำตก อีกปัจจัยที่เลือกคือที่มีบริการรับส่งจากสนามบิน
พอมาถึงโรงแรมแล้ว ตอนแรกกะว่าจะพักผ่อนก่อน แต่คิดไปคิดมาออกไปเที่ยวเลยดีกว่า เลยตัดสินใจซื้อแพ็คเกจที่โรงแรมไปน้ำตกเลย (2 คน 30 R$ ) ใกล้มากๆ จริงๆ (แต่ถ้าไม่รีบสามารถรอรถเมล์สาย 120 ฝั่งตรงข้ามโรงแรม ไปที่น้ำตกได้ ไม่ไกล คนละ 5 R$ แต่ต้องเช็คเวลาดีๆ ดูรายละเอียดการเดินรถได้ที่นี่ https://www.busbrazil.com/foz-do-iguacu-bus-terminal หรือ https://first2board.com/pointssummary/2015/05/13/how-to-get-from-foz-do-iguacu-to-iguazu-falls-in-brazil-by-bus/)
เมื่อไปถึงทางเข้า Parque Nacional do Iguaçu และนัดเวลากลับกับคนขับรถเรียบร้อย ก็เดินเข้าไปต่อแถวซื้อตั๋วคนละ 72 R$ ซึ่งราคาจะปรับทุกปีนะฮะ เสร็จแล้วเดินไปรอขึ้นรถบัสเข้าน้ำตก (หากว่าสนใจขึ้นเฮลิคอปเตอร์ชมจากมุมสูง หรือจะจองเรือเข้าไปใกล้ๆ ดูความอลังของน้ำตก มีบริการซื้อตั๋วจากตรงนี้ได้ แต่เราคิดว่าเฉยๆ)
นั่งชมวิวไปเรื่อย ใช้เวลาประมาณ 30 นาที รถบัสมาจอดตรงทางเข้าน้ำตก เดินตามคณะฝรั่งเข้าไป วิวแรกที่เจอความอลังการของน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในโลก (อ่านข้อมูลทั่วไป*ด้านล่าง)
เมื่อไปถึง วิวแรกที่เจอ
ถ่ายรูปตามทางมาเรื่อยๆ วันนี้โชคดีที่ฟ้าใส เราเดินไปเรื่อยๆ ตอนแรกจะแวะถ่ายตรงจุดไฮไลท์ที่เรียกว่า Devil’s Throat Canyon แต่คนเยอะมาก ไม่อยากไปรอต่อคิวถ่ายรูปตรงนั้น
เราเลยเดินไปตามทางด้านซ้ายก่อน เข้าไปด้านในต่อแถวเพื่อขึ้นลิฟไปจุดชมวิวด้านบนน้ำตก
แนะนำ
เปียกเป็นหมาตกน้ำแน่นอน
เตรียมเสื้อกันฝนและและผ้าคลุมเป้ให้เรียบร้อย
ซองกันน้ำใส่มือถือสำคัญมาก
เช็คพยากรณ์อากาศด้วย
เราใช้เวลาเดินรอบๆ ประมาณ 3-4 ชม แล้วขึ้นมากินข้าวที่ Service Center แล้วรอรถบัสกลับ ออกมาหลังเวลานัดกับคนขับรถไปพอสมควร (แหะๆ)
กลับมาโรงแรมออกมาเดินรอบๆ ซึ่งเงียบมาก เหมือนไม่มีคนมาพักเลย มื้อค่ำเดินไปกินอาหารในโรงแรม (เพราะไม่มีตัวเลือกอื่น) คืนนี้นอนหลับเหมือนซ้อมตายเพราะเหนื่อยมาก
Day 5 in Foz do Iguaçu, Brazil
วันรุ่งขึ้นมีเวลาว่างๆ เลยเสิร์ชหาดูว่าใกล้ที่พักมีอะไรน่าสนใจบ้าง เจอไปสวนนก Parque das Aves ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามทางเข้าน้ำตกอิกวาซู แพ็คกระเป๋าเดินทางทันที (เพราะไม่มีอะไรทำ) เมื่อไปถึงทางเข้ามีป้ายขนาดใหญ่ให้ดูเส้นทางการชมธรรมชาติ เดินเข้าไปจ่ายค่าเข้าคนละ 45 R$ หรือจองออนไลน์ https://www.parquedasaves.com.br/en/
ในนี้ มีนกหลายสายพันธุ์ ให้เราเข้าไปอยู่ในกรงใกล้ชิดกับนกมากมาย แต่ห้ามจับเด็ดขาด เราใช้เวลาที่นี่ประมาณ 2 ชั่วโมง
หลังจากนั้น ตัดสินใจนั่งรถเข้าเมือง Foz do Iguçu ลองไปสัมผัสบรรยากาศในเมืองแบบไม่ได้วางแผนอะไร เรานั่งรถเมล์สาย 120 ฝั่งโรมแรมเข้าเมือง
ซึ่งรถจะไปจอดที่ TTU - Terminal de Transporte Urbano de Foz do Iguaçu เป็นเหมือนสถานีจอดรถหลายๆ สาย (ถ้าคนที่มาพักในเมือง สามารถขึ้นรถจาก TTU เพื่อเข้าไปที่น้ำตกได้ไม่ยาก) เดินดูจุดขึ้นรถและเวลาขากลับ เผื่อรถหมด หลังจากนั้น ก็เดินงงๆ ไปตามทาง ตอนแรกจะเดินข้ามไปอุรุกวัย แต่กลัวว่าจะไม่ได้กลับมา เลยล้มเลิกความคิดดีกว่า
เดินๆ ไปตามทาง ได้ลองกินอาหารบุฟเฟ่ตามน้ำหนักดู ถือว่าดี ทำให้ไม่เกิด food waste เดินเล่นในเมืองเล็กน้อยก็นั่งรถกลับโรงแรม เตรียมตัวไปน้ำตกฝั่งอาร์เจนตินาวันพรุ่งนี้เช้า
*ข้อมูลทั่วไป
น้ำตกอีกวาซู มาจากภาษา กวารานี ของชนเผ่าอินเดียแดงดั้งเดิมทางแถบอเมริกาใต้ มีความหมายว่า สายน้ำอันยิ่งใหญ่
น้ำตกแห่งนี้มีพื้นที่ติดอาณาเขตรอยต่อของสองประเทศใหญ่ระหว่างบราซิล และอาร์เจนตินา ความยิ่งใหญ่ของน้ำตกแห่งนี้กินพื้นที่ความกว้างกว่า 4 กิโลเมตร และความสูงประมาณกว่า 270 ฟุต
มีขนาดใหญ่กว่าน้ำตกไนแอการาประมาณ 30 เท่า และขนาดของน้ำตกใกล้เคียงกับน้ำตกวิกตอเรียในทวีปแอฟริกา
น้ำตกแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโกในปี 1984 และยังได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติยุคใหม่ (New Seven Wonders of Nature) ปี 2011 ความแตกต่างระหว่างน้ำตกฝั่งบราซิลและฝั่งอาร์เจนตินา
จากฝั่งบราซิล เราจะสามารถมองเห็นน้ำตกได้ในมุมกว้างกว่า และทั่วถึงมากกว่า
จากฝั่งอาร์เจนตินา จะสามารถสัมผัสน้ำตกได้ในระยะที่ใกล้ชิดกว่า
Opmerkingen