ตอนนี้จะพาไปย่ำดินแดนลับแล แต่ไม่ลบเลือน
อ่านตอนที่แล้ว 👇
Day 15 in Cusco, Machu Picchu
พวกเราตื่นเตรียมตัวตอน 04.00 น. ในใจก็คิดว่าทัวร์คงสายเหมือนประเทศอื่น พอเวลา 05.30 น. เราออกมา เห็นไกด์มารอหน้าประตูแบบตรงเวลามากๆ พวกเราเป็นทีมแรกที่ขึ้นรถตู้หลังจากนั้นทัวร์ก็ทยอยไปรับนักท่องเที่ยวคนอื่นตามทาง ในระหว่างนั้นก็มีการถ่ายรูป passport เพื่อยืนยันกับตั๋วขึ้นรถไฟไปมาชูฯ
*แนะนำ*
ของที่ต้องเตรียมติดกระเป๋าไว้
ขาไปนั่งรถจากในเมือง 2 ชม เพื่อไปขึ้นรถไฟสถานี Ollantaytambo รอบ 8 โมง เราไปถึงสถานีก่อนเวลาครึ่งชั่วโมง ซื้อกาแฟ/ของกินติดมือให้เรียบร้อย เมื่อรถไฟมาแล้วทยอยขึ้น ไม่ต้องแย่งกับใคร เพราะตั๋วระบุที่นั่งเรียบร้อย หากว่าใครจะมาเองก็เช็คเวลาเดินทางของรถไฟดีๆ ตามลิ้งนี้ https://incarail.com/
จากสถานี Ollantaytambo ถึงปลายสถานี Machu Picchu
จากสถานีนี้เดินออกมาเจอตลาดแล้วข้ามแม่น้ำ Rio Aguas Calientes ไกด์บอกว่า เอาตั๋วให้รอขึ้นที่ท่ารถรอบ 9.45 น. ใช้เวลา 25 นาที ก็ถึงทางเข้า มาชูปิ๊กชูแล้ว มาถึงตรงนี้เจอไกด์ท้องถิ่นผู้จะพาเดินอธิบายความเป็นมารอบๆ บริเวณ ตรงนี้ถ้าใครสนใจแสตมป์เช็คอินตรามาชูปิ๊กชู ก็มาต่อแถวก่อนเดินเข้าไปด้านใน
*แนะนำ*
ตรงทางเข้าเป็นคาเฟ่เล็กๆ กินให้เรียบร้อยตั้งแต่ตรงนี้
ห้ามนำอาหารเข้าไปด้านในนะฮะ
วิธีป้องกันฝนคือเสื้อกันฝนหรือร่มสั้นเท่านั้น ห้ามนำร่มใหญ่เข้าพื้นที่ด้วยฮะ
ด้านในไม่มีห้องน้ำ ดังนั้น จัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยตั้งแต่ทางเข้า
ทางเดินด้านใน เป็นทางเดินทางเดียว ไม่มีย้อนกลับ
ข้อมูลทั่วไปของมาชูปิ๊กชู อ่านด้านล่างนะฮะ
ซึ่งไกด์พาเดินเป็นกรุ๊ป ซึ่งไกด์ดีมากๆ อธิบายเยอะทีเดียว ช่วงแรกพวกเราก็ไปพร้อมกับกรุ๊ป ... แต่พวกเราเน้นถ่ายรูปและเดินช้า เลยคุยกับไกด์ว่าขอเดินเอง ไกด์จึงแนะนำเส้นทางเดินและทางออก ซึ่งไม่ยาก ที่สำคัญกำชับให้เราลงไปรอที่สถานีรถไฟก่อนเวลากลับครึ่งชั่วโมง ในช่วงแรกที่เราเดินแยกจากกรุ๊ป อากาศยังขมุกขมัวหมอกลง ฝนลงเม็ด ในใจก็คิดว่า เสพจากทางตาเราก็พอแล้ว แต่อีกสักพักแดดก็มาให้เราให้ได้ดื่มด่ำบรรยากาศอย่างเต็มที่ รู้สึกโชคดี (อีกแล้ว)
เดินไปได้ซักพัก ฝนก็ตกอีก ที่นี่เอาแน่เอานอนเรื่องอากาศไม่ได้จริงๆ เราเตรียมเสื้อวอร์มกันน้ำและถุงคลุมกันเป้เปียก พร้อมสำหรับสิ่งเหล่านี้
เราเดินดูโบราณสถานและแวะถ่ายรูปมุมสวยๆ มีอัลปาก้าที่ท่าทางจะเป็นมิตร (มั้ง) เดินเข้ามาหา ซักพักก็เดินจากไป
เราเดินรวมทั้งสิ้นประมาน 4 ชม พวกเราเดินออกมาก่อนเวลาเยอะ เลยลงไปรอที่สถานีรถไฟก่อน เดินข้ามแม่น้ำมาจะเจอตลาดเผื่อหาซื้อของฝาก
ขึ้นรถไฟรอบ 17.30 น. ไปลงสถานี Estacion Wanchaq เพราะใกล้กุสโกมากกว่า ใช้เวลาเดินทาง 4 ชม
ในระหว่างทางกลับมีโชว์และ แฟชั่นโชว์ (เพื่อให้ซื้อของ ระหว่างทางกลับ)
ออกจากสถานีแล้วมีไกด์มารอรับขับไปส่งที่พัก พวกเราขอลงกลางทางเพื่อหาของกินเพราะว่าหิวมากๆ คืนนี้ไม่ได้ทำกับข้าว เลยแวะกินฟาสฟู๊ดข้างทาง เสร็จแล้วเดินอุ้ยอ้ายกลับโรงแรม คืนนี้เพลียมากหลับไปพร้อมกับกายหยาบที่หมดพลัง
Day 16 in Cusco, Peru
วันนี้วางแผนพักร่างกายและเดินชมรอบเมือง ดูสถาปัตยกรรมต่างๆ เริ่มจาก Plaza Mayor de Cusco เป็นจัตุรัสกลางเมือง มีโบสถ์โรมันคาทอลิกเก่าแก่ชื่อว่า Catedral del Cuzco สร้างนานกว่าร้อยปี ภายในโบสถ์มีผลงานศิลปะเก่าแกที่ยังหลงเหลืออยู่ เช่น The last supper เป็นรูปพระเยซูแสะสาวก 12 คนเตรียมกินหนูตะเภา กับ Chicha (ว่าละทำไมเมืองนี้ มีหนูตะเภายักษ์ทุกร้านเลย) ซึ่งเปิดตั้งแต่ 10.00 - 18.00 น. เจ้าหน้าที่บอกว่า เข้าแต่วิหารนี้ก็คนละ 25 sol แต่มีราคาแพ็คเกจ ค่าเข้าชมคนละ 100 sol สามารถเข้าได้ 3 โบสถ์ ได้แก่ Catedral del Cuzco, Iglesia de la Compania de Jesus (เป็นโบสถ์ที่สะสมงานศิลปะท้องถิ่น) และ Iglesia del Triunfo (เป็นโบสถ์แรกในกุสโก สร้างตั้งแต่ ค.ศ. 1539) ด้วยความอินรสพระธรรมในคริสต์ศาสนา มองหน้ากันแล้วก็บอกว่า งั้นไม่เป็นไร เดินถ่ายรูปเล่นรอบๆ น่าจะดีกว่า
เดินไปรอบๆ จนถึง Hatunrumiyoc เป็นถนนแคบๆ ที่มีแต่กำแพงหินที่ชาวอินคาใช้ก่อสร้าง น่าทึ่งในความคิดคนยุคก่อน ที่เอาหินก้อนใหญ่มาตัดมุมเชื่อมต่อหิน 12 มุมเข้าด้วยกัน แล้วสร้างเป็นประสาท เป็นอาคารได้
แล้วแวะช้อปปิ้งของพื้นเมืองข้างทาง เป็นเหมือนหมู่บ้านเก่าๆ ขายของพื้นเมือง เช่น เสื้อและผ้าพันคอ ขนอัลปาก้า หรือ พวกของทำมือ กระเป๋า พวงกุญแจ แม่เหล็ก ตุ๊กตา ต่างๆ (แนะนำให้ซื้อตั้งแต่ที่นี่) เสร็จแล้วไปซุปเปอร์ วันนี้ ทำอาหารกินเอง สนุกดี ที่พักที่นี่น่ารักมาก ให้ใช้ครัวได้ตามสบาย (คิดถึงอาหารไทยละ) คืนนี้ต้องรีบนอนกว่าทุกวัน เพราะพรุ่งนี้ไป rainbow mountain
Day 17 in Cusco, Rainbow Mountain
วันนี้เริ่มเช้ามาก ไกด์มารับตอนตีสาม แปลว่าพวกเราต้องตื่นตีสองเพื่อเตรียมตัว ไกด์มารอรับตรงเวลามาก เดินไปขึ้นรถแวนเป็นกลุ่มแรก หลังจากนั้นไกด์วนรับทุกคนในกรุ๊ปทัวร์จนครบ วันนี้ไกด์ดี ให้ข้อมูลต่างๆและอธิบายรายละเอียด แผนที่การเดินทางวันนี้ เราจะเดินทางไกลมาก ดังนั้นต้องเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม
*แนะนำ*
อากาศค่อนข้างแปรปรวน เตรียมเสื้อกันหนาว เสื้อกันฝน หมวก แว่นตากันแดด ครีมกันแดด อุปกรณ์ต่างๆ ไปให้พร้อม
ข้างบนนั้น ความกดอากาศต่ำมากๆ อย่าลืมกินยาให้พร้อม
เดินให้ช้า หายใจให้ลึก
กระป๋องออกซิเจน พกติดตัวช่วยบรรเทาคนหายใจติดขัด
ขวดน้ำแบบพกพาและทิชชู่เปียกเป็นสิ่งที่ควรมี
เงิน สำคัญที่สุด
พวกเรานั่งรถไปประมาณ เกือบ 2 ชม ถึงจุดพักชื่อว่า Checacupe ไกด์ปลุกพวกเราให้กินข้าวเช้า ซึ่งไกด์แนะนำว่า ในช่วงเช้าให้กินเยอะๆ ได้ แต่กลางวันไม่ควรกินเยอะ เดี๋ยวอ้วก ตรงนี้เป็นจุดเดียวที่สามารถซื้อเสื้อหรือถุงมือ หรืออุปกรณ์ต่างๆ ก่อนขึ้น Rainbow Mountain ซึ่งวันนี้อากาศแปรปรวนมาก คือหนาวมาก ฝนก็ลง ลมก็แรง หน้าชา มือชา กันหมด
หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ ทำธุระให้เรียบร้อย นั่งรถต่ออีก 1 ชม ทางค่อนข้างขรุขระและคดเคี้ยวมากๆ เราถึ
งที่ตีนเขาเรียกว่า Quesiuno ประมาณหกโมงเช้า แค่ก้าวออกจากรถก็รู้สึกถึงความลำบากในการหายใจเข้าปอด ก่อนขึ้นเขาไกด์อธิบายการเดินเท้า จากตีนเขาไปสุดปลายทาง จะใช้เวลาไปกลับประมาณ 3.30 ชม ระหว่างทาง มีทั้งทางราบ และทางชัน รวมถึงพื้นโคลน ขอให้ทุกคนระมัดระวังในการเดินทางขึ้นไป
แต่ถ้าใครดูท่าจะไม่ไหว ก็มีบริการขี่ลา ค่าบริการ 80 sol ไปกลับ (จนไปถึงสุดทางราบ ต้องเดินทางชันขึ้นไปประมาณ 2-300 ม.)
สำหรับใครที่กลัวตายระหว่างทาง ขอให้พกสิ่งนี้ไปด้วย มันคือ อ๊อกซิเจนกระป๋อง สูดดมช้า ๆ เมื่อคุณหายใจไม่ทัน
และอีกตัวช่วยหนึ่ง หากว่าใครหายใจไม่ทันขอให้หยุดเดินและให้ดมน้ำมันโคคา (แต่อย่าดมมาก เดี๋ยวเมา)
ระหว่างทาง เป็นทั้งทางแนวราบที่เต็มไปด้วยโคลน ทางชันขึ้นเขา
เมื่อแสงสว่างกระทบภูเขาเป็นช่วง ๆ ก็จะได้ภาพแบบนี้
เดินไปอีก 5 นาที อากาศก็แปรปรวน หมอกลงอีกครั้ง
คนท้องถิ่นที่ให้บริการพาขึ้นเขา มีตรงตีนทางขึ้นเท่านั้น ระหว่างทางจะเจอคนท้องถิ่นที่พาม้าและลามาพักก่อนจะลงไปรับคนอีกรอบ
เราขึ้นมาช่วงเช้ามืด จะมีทั้งแสงสลัวและหมอกคลุมสลับกันไป
เราทำเวลาดีมาก เดินไปถึงปลายทางภายใน 2.30 ชั่วโมง แต่เพื่อนเราที่ขี่ลามาถึงก่อนได้พักหนึ่งแล้ว ข้างบนนี้หนาวและลมแรงมาก เราหันกลับไปที่จุดมหาชนเห็นแต่หมอกหนา ด้วยอากาศที่แปรปรวน เราคิดว่าวันนี้จะไม่ได้เห็นภูเขาสายรุ้งที่ล่ำลือ พวกเรานั่งรอ สูดอากาศบนเขาให้เต็มปอด ดูบรรยากาศโดยรอบ สักพักมีชาวเขาพาตัวอัลปาก้ามานอนอยู่ข้างๆ ที่เรานั่งรอ
รอซักพักใหญ่ เมื่อหมอกค่อยๆ จางลง แดดเริ่มส่องใสฉายแสงมาทาบทิวผิวภูเขา สีสันของคำว่า “ภูเขาสายรุ้ง” นั้นเป็นของจริง สวยงามมาก (ข้อมูลทั่วไปให้อ่านจากด้านล่างนะฮะ)
จากที่เรามาถึงเป็นกลุ่มแรก ได้ถ่ายรูปชุดจนหนำใจซักพักใหญ่ก็เดินลง ตอนนี้แดดเริ่มร้อนละ ในระหว่างทางลงมีกลุ่มคนจากหลายทัวร์ทยอยเดินขึ้นมาหลายร้อยคน รู้สึกดีใจที่ได้ขึ้นมาเป็นกลุ่มแรก พวกเรากลับมาที่รถตามเวลาที่ไกด์นัด ตอนขาลงใช้เวลาน้อยกว่าขาขึ้นมาก
เดินไปกลับประมาณ 4-5 ชั่วโมง รู้สึกเพลียเอาเรื่องทีเดียว เมื่อทุกคนพร้อมกลับแล้ว รถแวนก็พากลับมาที่เดิม (ที่กินอาหารเช้า) เพื่อกินอาหารเที่ยง ถัดจากนั้นก็พามาส่งในเมือง พวกเราเดินกลับโรงแรมอย่างหมดแรง คืนนี้ทำกับข้าวง่ายๆ แบบไม่ใช้พลังงานมาก แพ็คกระเป๋าเตรียมพร้อมเดินทางไปอะเมซอน
ข้อมูลทั่วไป
Machu Picchu ได้รับการค้นพบโดย Hiram Bingham นักสำรวจที่มาเจอเมืองสาบสูญแห่งอินคาบนเขาสูง 2430 เมตรจากระดับน้ำทะเล เมื่อปี 1911 หรือเรียกว่า The lost city of the Incas ซึ่งต่อมาได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO และเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่
นักโบราณคดีเชื่อว่า จักรพรรดิผู้น้อง ที่ขึ้นมาสร้างเมืองอินคาช่วง ค.ศ. 1438 ได้ถูกล่าอาณานิคมและโดนฆ่าตายหมดโดนชาวสเปน ทำให้เป็นเมืองที่ถูกปล่องทิ้งร้างนับร้อยปี หลงเหลือไว้แต่อารยธรรมโบราณของชาวอินคานับแต่บัดนั้น Ciudadela de Machu Picchu คือ สถาปัตยกรรมของชาวอินคาที่หลงเหลือไว้ ในอาณาบริเวณของป้อมปราการเมืองโบราณมาชูปิ๊กชูมีสิ่งก่อสร้างที่สำคัญ เช่น Royal Palace, Temple of Condor, Sun Temple เป็นต้น ส่วนนี้ต้องตั้งใจฟังจากไกด์ท้องถิ่น จะอินกับการล่าอาณานิคมของสเปนและชาวอินคามากๆ
Rainbow Mountain (ภูเขาสายรุ้ง) หรืออีกชื่อเรียกว่า Vinicunca เป็นภาษาพื้นเมืองของเปรู แปลว่า 'ภูเขาสี' อยู่สูงถึง 5200 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ภูเขานี้ประกอบด้วยแร่ธาตุหลากสีสัน 14 ชนิด ประกอบไปด้วย ชั้นสีแดงคือสนิมเหล็กออกไซด์ สีส้มและสีเหลืองหมายถึงเหล็กซัลไฟด์ สีเขียวและสีเหลืองมาจากคลอไรต์ นอกจากนี้ ความหนาแน่นของแร่ธาตุ ทำให้เกิดการไล่ริ้วสีเขียวคราม ม่วงอ่อน แดง ส้มและสีทอง เรียงรายไปตามแนวเขา ที่มาของภูเขาสายรุ้ง เกิดจากการผสมตัวของแร่ธาตุต่างๆ มาเป็นระยะเวลาหลายล้านปี ภูเขาสายรุ้งเพิ่งถูกค้นพบในปี 2013 จากผลของสภาวะโลกร้อน ทำให้น้ำแข็งที่ปกคลุมภูเขาค่อยๆ ละลาย จนทำให้นักสำรวจค้นพบที่แห่งนี้
Comments