Day 6 in Puerto Iguazú, Argentina
เช้านี้วางแผนนั่งรถบัสข้ามไปฝั่งอาร์เจนตินา แอบไปถามบริษัททัวร์ที่โรงแรม เค้าคิดค่าขับรถไปถึงฝั่งนู้นราคา คนละ 100 R$ (ประมาณ 560 บาท) เลยถามใหม่ว่า มีรถบัสที่ไปถึงมั้ย เค้าบอกว่ามี ให้ดูป้ายที่เขียนว่า “Puerto Iguazu Argentina”
ไปยืนรอรถบัสฝั่งโรงแรม เรายืนรอประมาณครึ่งชั่วโมง ก่อนขึ้นรถก็ถามคนขับว่าไปอาร์เจนตินามั้ย เค้าบอกว่าไป ขึ้นมาเลย
เราจ่ายค่ารถ คนละ 18 R$ (ราคาต่างกันหลายเท่าตัวเมื่อเทียบกับการใช้บริการโรงแรม) โดยรถบัสไปแวะรับคนที่สนามบิน IGU และไปทางเมือง แต่ไม่ได้เข้าไป นั่งยาวๆ ตรงไปที่ ตม. บราซิล ซึ่งคนบราซิลนั่งชิล ส่วนต่างชาติลงไปแสตมป์ตราประทับออกจากบราซิล (คุณลุงบอกว่าไม่ต้องเอากระเป๋าลง)
เสร็จแล้วนั่งไปอีกนิด ถึง ตม. อาเจน ตอนนี้คุณลุงคนขับบอกให้เอากระเป๋าเดินทางลง แล้วเดินนำพาลัดคิวไปแสตมตราประทับเข้าประเทศ (โชคดีได้ลุงคนขับใจดี พาแหวกทุกช่องทาง) ในระหว่างที่ประทับตราเสร็จแล้ว กำลังจะเอากระเป๋าขึ้นสแกนซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควรเพราะคนต่อคิวเยอะมาก ทันใดนั้นไฟก็ดับ ทุกคนยืนงงๆ สรุปไม่ต้องสแกนเป๋า คุณลุงคนขับกวักมือเรียกให้ออกไปเลย (เสียดายที่ไม่สามารถถ่ายรูปเก็บบรรยากาศความสนุกระหว่างนี้ได้ มัวแต่วุ่นวายกับการรีบเร่งประทับตราและลุ้นเรื่องการสแกนกระเป๋าอยู่)
เราใช้เวลาทั้งสิ้น 10 นาทีผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ประเทศอาร์เจนตินา (ใช้แต้มบุญอีกเช่นเคย) เดินเข็นกระเป๋าออกมาไปขึ้นรถ แล้วนั่งตรงไปตามทางไม่นานก็ถึง Terminal de Omnibus de Ciduad de Puerto Iguazú
รอบนี้ ตั้งใจว่าเมื่อถึงอาร์เจนฯ แล้วจะซื้อซิมการ์ดก่อน เราเดินเข้าไปเจอร้านแรกที่ Terminal เข้าใจอารมณ์คนต่างชาติได้เป็นอย่างดี (จุดขายจากป้ายหน้าร้าน) คุยอยู่ครู่นึงคิดว่าควรไปแลกเงินก่อน จึงเดินไปโรงแรมฝากกระเป๋าและค่อยหาที่แลกเงิน
เดินมาได้ซักพัก ตรงหัวมุมก่อนเดินไปถึงโรงแรมเห็นร้านแลกเงิน Austral Cambios ดูน่าเชื่อถือสุด (1$ = 57 AR$) แนะนำ - ร้านแลกเงินนี้ให้เรทดีที่สุด เพราะเราถามเรทที่โรงแรมก็ไม่ได้เท่าที่แลกเงินมา - ไม่ควรไปแลกข้างทาง อันตรายมากๆ - ถ้าเจอแบงก์เหี่ยวๆ เน่าๆ บอกเค้าไปว่าขอเปลี่ยนใบใหม่ อย่าอาย อย่าบอกว่าไม่เป็นไร เพราะที่นี่เค้าไม่รับแบงก์เน่า
หลังจากแลกเงินเรียบร้อยและเอากระเป๋าไปฝากที่โรงแรม Hotel El Libertador (เพราะยังไม่ถึงเวลาเช็คอิน) ที่เราเลือกโรงแรมนี้เพราะไม่ไกลจากสถานีจอดรถและราคาเป็นกันเอง ภาพรวมของโรงแรมนี้ถือว่าใหญ่ทีเดียว มีสระว่ายน้ำ และมีสามตึกอยู่ด้านใน
หลังจากนั้นก็เข้าสู่ภารกิจ S Class ของทริปนี้ คือ การซื้อซิมการ์ด เดินไปตามร้านต่างๆ จนมาเจอร้านขายของชำข้างทาง ซึ่งเจ้าของร้านดูเข้าใจกับการรับมือชาวต่างชาติ (แต่ในความเป็นจริงแล้วเราตัดสินใจผิดที่มาร้านนี้) ที่นี่เราเลือกยี่ห้อ Claro ราคา 300 AR$ (เพราะอ่านจากรีวิวของฝรั่งบอกว่ายี่ห้อนี้ครอบคลุมสุด)
การซื้อซิมครั้งนี้ยากกว่าตอนอยู่บราซิลคือ เค้าพูดอังกฤษไม่ได้เลย เจ๊เจ้าของร้านก็พยายามอย่างมาก เราก็เหนื่อยมากกับการพิมพ์อธิบายผ่าน google translate (จากมือถือเจ๊อาร์เจน เจ้าของร้าน) พวกเราพยายามกันประมาณค่อนชั่วโมง จนเจ๊ทนไม่ไหวบอกว่า เราไปสูบบุหรี่ข้างนอกและเค้าจะช่วยเราลงทะเบียนซิมจนสำเร็จ สุดท้ายมีคนที่พูดภาษาอังกฤษได้มาช่วย (ยอมใจกับความตั้งใจจริงในการช่วยเหลือตลอดระยะเวลาชั่วโมงเศษ)
หลังจากที่ใช้เวลานานมากๆ กับการซื้อและลงทะเบียนซิมการ์ด เดินมาอีกนิดแวะกินข้าวมื้อใหญ่
พิซซ่าหน้าอะไรไม่รู้ ถาดใหญ่ 10 ชิ้น
ก่อนเดินกลับไปเช็คอินที่โรงแรม หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย วันนี้ไม่มีแผนไปไหน ลองเดินเที่ยวรอบๆ เมืองดูบรรยากาศ ที่นี่ถือว่าเป็นเมืองเล็กๆ เงียบสงบ
เราเดินไปเรื่อยๆ จนถึงจุด landmark ที่เป็นพรมแดนที่แม่น้ำกั้นระหว่าง 3 ประเทศ คือ อาร์เจนตินา บราซิล และ ปารากวัย เรียกว่า Hito Tres Fronteras รอบๆ บริเวณมีขายของชำร่วยนิดหน่อย เรามาก่อนเวลาพระอาทิตย์ตกดินจึงไม่มีนักท่องเที่ยวเลย (ที่นี่ราคาแท๊กซี่มีราคามาตรฐาน ต่อราคาเองไม่รู้เรื่อง)
หลังจากเดินเที่ยวรอบๆ เมือง แถมหลงไปตลาดกลางเมืองอีก สนุกดี
เหน็ดเหนื่อยจากการเดินไกลแล้ว เราแวะกินข้าวร้านดังในเมือง (อ่านจากรีวิวคือต้องจองโต๊ะก่อน แต่ตอนเราไป ไม่ต้องจอง) ชื่อร้าน AQVA ลองปลา ท้องถิ่นที่ชื่อ Pacu (สายพันธุ์เดียวกับปลาปิรันย่า หรือ ปลาจาละเม็ด) และ Surubi (สายพันธุ์เดียวกับปลาสวาย) รสชาติดี ราคาเหมาะสม
อิ่มหนำกับปลาท้องถิ่นแล้ว ก็เดินย่อยในเมืองอีกรอบ (คิดว่าจะไปนั่งดริ้งในเมือง แต่คิดอีกทีไม่แน่ใจเรื่องความปลอดภัย) แล้วกลับโรงแรมเพื่อเตรียมตัวไปน้ำตกพรุ่งนี้เช้า
Day 7 in Puerto Iguazú, Argentina
ตื่นเช้า รีบลงไปเช็คเอ้าท์และฝากกระเป๋าที่โรงแรม แล้วเดินไปซื้อตั๋วไป-กลับน้ำตกที่ตรงบริเวณ Information ที่จอดรถ Terminal de Omnibus de Ciduad de Puerto Iguazú คนละ 360 AR$ (ถ้านั่งแท็กซี่ขาละ 600 AR$ ขอบายก่อนนะ) เรายืนดูตารางเวลารถทัวร์ที่หน้าร้านขายตั๋ว จากที่ดูรถเข้ามาจอดสถานีตรงตามเวลา และหากว่ารถบัสเต็มต้องรอรอบถัดไป ซึ่งรถจะมาจอดที่สถานีห่างกันประมาณ 10-20 นาที
ขึ้นรถเรียบร้อย นั่งรถออกจากเมืองไปประมาณ 40 นาที เมื่อรถมาจอดที่หน้าทางเข้า ก็เดินไปต่อแถวซื้อตั๋ว ค่าเข้าคนละ 800 AR$
การเดินทางภายในน้ำตกอิกัวซูฝั่งอาร์เจนตินาแต่ละจุด (ดูเส้นทางแบ่งออกเป็นแต่ละสี) จะไกลพอสมควร ซึ่งจะเดินก็ได้ หรือนั่งรถไฟก็ได้ ถ้าเลือกนั่งรถไฟให้สังเกตจุดรับตั๋วรถไฟตามที่ต่างๆ ใกล้สถานี และต้องได้ตั๋วรถไฟแต่ละเที่ยวก่อนถึงสามารถไปรอขึ้นรถไฟได้ ระยะการเดินทางในบริเวณน้ำตก มีให้เลือกแบบจะไป Upper หรือ Lower trail
เราเลือกไป Upper trail ขึ้นไปดู Devil’s throat ก่อน (สีส้ม) แล้วค่อยเดินลงมาต่อรถไฟไปทาง Lower trail ซึ่งมีเส้นทางสีฟ้า สีเหลือง ให้เลือกอีก และสีแดงเป็นจุดขึ้นเรือเข้าไปชมน้ำตกใกล้ๆ
คำอธิบายสีเส้นทาง - เส้นสีส้มความเปียกระดับละอองพัดลมไอน้ำ - เส้นสีเหลืองความเปียกระดับสงกรานต์สีลม - เส้นสีฟ้าความเปียกระดับละอองน้ำพอชุ่มๆ - เส้นสีแดงนั่งเรือ ซึ่งช่วงที่เราไปเค้าปิดบริการ
แนะนำ - ควรเตรียมเสื้อกันเปียก ซองมือถือกันน้ำเผื่อไป
เดินเข้าไปตามแผนที่ แวะเอาตั๋วรถไฟแล้วเดินต่ออีกนิดไปเจอสถานีรถไฟ Estacion Central Station เพื่อขึ้นไปเริ่มที่ Estacion Gargania Station เป็นจุดมหาชนที่ทุกคนมายืนออ (ทำไมไม่รู้?) หลังจากเราเดินไปรอบๆ พื้นที่ ดูความอลังการของน้ำตกจากทุกบริเวณทั้งด้านบนสุดจนถึงใต้น้ำตก วันนี้อากาศดีมาก และ ร้อนมากเช่นกัน
เราใช้เวลาเดินรอบๆ ประมาณ 6 ชม ก่อนที่จะขึ้นรถกลับ ให้มาขึ้นตรงจุดจอดรถที่ทางเข้าและสามารถดูตารางเวลาได้ที่นี่
เดินทางกลับอีกประมาณ 40 นาที แล้วไปโรงแรมเอากระเป๋าที่ฝากไว้ ในช่วงระหว่างหาแท๊กซี่ พนักงานโรงแรมใจดีเรียกแท๊กซี่ให้ ได้ราคาในราคา 600 AR$ (ซึ่งเมื่อวานนี้เดินถามหลายที่ พบว่าราคากลางของแท๊กซี่ไปสนามบินคือ 700 AR$)
มาถึงสนามบินก่อนเวลาเพื่อรอเช็คอิน ซี่งสายการบิน Aerolíneas Argentinas ให้น้ำหนักกระเป๋าใหญ่ไม่เกิน 15 ก.ก. ในขณะที่กระเป๋าของเราหนัก 21 ก.ก. !! (พอตอนชั่งน้ำหนักแล้วก็ตกใจ หันไปยิ้มสวยให้พนักงานหนึ่งที) ในตอนนั้น เรานั่งคำนวณแล้วว่าต้องจ่ายเพิ่มเท่าไหร่ แต่ด้วยความใจดีของพนักงาน👼 บวกกับความงงๆ ของเรา เลยผ่านได้โดยไม่เสียค่าน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม (ไม่ควรทำตาม และ ไม่ควรเสี่ยงดวงเหมือนเรา)
เย็นวันนี้ เราบินจาก Iguazu ไปต่อเครื่องที่เมือง Buenos Aires, Argentina และบินต่อไปที่ El Calafate เมืองภูเขาน้ำแข็ง ใช้เวลารวมต่อเครื่องด้วย 7 ช.ม.
Day 8 in El Calafate, Argentina
มาถึง El Calafate Airport เวลา 09.00 น. สิ่งแรกที่ควรทำคือรีบไปคอนเฟิร์มตั๋วรถแบบรับ-ส่งระหว่างโรงแรมกับสนามบิน ราคาไป-กลับ 700 AR$ ต่อคน (เช็คเวลาเดินตรงหน้าเคาน์เตอร์ได้)
มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากมาที่มาหาตั๋วหน้าเคาน์เตอร์ (หากว่าชักช้ามัวแต่เดินเทียบราคาอยู่ อาจเจอเหตุการณ์นี้)
บางคนวางแผนที่มาถึง El Calafate แล้วนั่งรถทัวร์ไปที่ El Chaltén เลย ก็ควรเช็คเวลาเดินรถให้รอบคอบ ส่วนเราเลือกที่จะพักที่ El Calafate ก่อน แล้วค่อยไปเดินเขา Fitz Roy ที่ El Chaltén
El Calafate Airport สนามบินเล็กๆ ที่มีนักท่องเที่ยวแน่นๆ
แนะนำ - ให้ซื้อตั๋วล่วงหน้ามาก่อน https://vesweb.herokuapp.com/ ของบริษัท Ves Patagonia - ทำใจร่มๆ และพกสติ + แต้มบุญไปให้เยอะเพราะบริษัท Ves ไม่ตอบอีเมล - ตรงบริเวณนั้น มีหลายบริษัทรถให้บริการรถรับส่งระหว่างสนามบิน - โรงแรม เลือกได้ตามใจชอบแต่เห็นว่า Ves จะบริการดีสุด จากการอ่านรีวิว - หากวางแผนจะไปที่ El Chaltén ต่อ ก็จองตั๋วออนไลน์และเช็คเวลาเดินรถ ที่ https://elchalten.com/v4/en/busses-to-el-chalten.php หรือ www.chaltentravel.com ค่าตั๋วคนไป-กลับ คนละ 2,300 AR$ (ราคาอาจเปลี่ยนแปลงทุกปี)
รถบริการของ Ves พาเราไปโรงแรม Apart Hotel Libertador (เราเลือกที่พักนี้เพราะว่าอยู่กลางใจเมือง) ภาพรวมของโรงแรมเหมือนเป็นบ้านเก่าแล้วเอามาปรับเป็นโรงแรม มีอาหารเช้าเบาๆ ให้ เมื่อเข้าที่พักฝากกระเป๋าเรียบร้อย ออกมาเดินในเมือง ค้นพบว่าวันเสาร์เมืองยังเงียบอยู่ตอน 10 โมงเช้า เราแวะกินกาแฟข้างทาง เมื่อถามพนักงานในร้านกาแฟถึงรู้ว่าทุกร้านจะเริ่มเปิดบริการตอนเที่ยงตรง
เดินชมเมืองไปเรื่อยๆ วันนี้โชคดีมาก มาเจอพิธีจัดงานฉลองสร้างเมืองครบ 92 ปี มีขบวนพาเหรดคึกคัก ผู้คนเป็นมิตร ชาวเมือง Calafate ดูคึกคักและแจ่มใสดี
เดินชมวิวไปเรื่อยๆ แล้วลองเดินไปที่ท่ารถ Terminal de Omnibus El Calafate (สำหรับขึ้นรถไป El Chaltén ในวันพรุ่งนี้เย็น) เพื่อกะระยะเวลาเดินเท้า ดูว่าห่างจากที่พักแค่ไหน ปรากฎว่าไม่ไกลมาก เดินสบายๆ ประมาณ 15 นาที
เดินจนไปเจอ Laguna Nimez Reserva Natural Municipal ซึ่งเป็นเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ มีค่าเข้า 500 AR$ ด้านในเป็นพื้นที่เปิดโล่ง สำหรับเดินชมธรรมชาติ ด้านในลึกๆ มีจุดดูนกนานาพันธุ์รวมถึงฟามิงโก้ป่ารวมตัวกันอยู่ ซึ่งเราเห็นว่าไม่มีอะไรมากเพราะเดินผ่านมาแล้ว เลยไม่ได้เข้าไปในนั้น
เดินออกนอกเมืองไปไกลมาก เดินกลับมาก็ค่ำพอดี เรากินข้าวเย็น ร้าน Yenu เป็นร้านอาหารในโรงแรม Hostel Nakel Yenu รสชาติดี ราคาน่ารัก
กลับมาโรงแรมเตรียมตัวไปภูเขาน้ำแข็ง Los Glacier National Park
Day 9 in El Calafate, Argentina
เช้าวันนี้ เราจองทัวร์ไป Los Glacier National Park https://www.veltra.com/en/ ซึ่งทัวร์ของเรานัดเวลามารับ 9 โมงเช้า แต่มาเลทนิดหน่อย ตอนที่ไกด์มาถึงก็ขอโทษชุดใหญ่เนื่องจากแวะไปรับนักท่องเที่ยวตามโรงแรมต่างๆ (และใช่ฮะ พวกเค้าสายไปครึ่งชั่วโมง)
ระหว่างนั่งรถทัวร์ไปภูเขาน้ำแข็ง ไกด์มีการอธิบายข้อมูลและประวัติของอุทยานฯ ย้อนไปหลายพันปีก่อน พื้นที่อุทยานฯ แห่งนี้ ปกคลุมด้วยธารน้ำแข็งทั้งหมด แต่ด้วยอุณหภูมิของโลกที่ร้อนขึ้น ทำให้ธารน้ำแข็งหลายส่วนละลาย เหลือเพียงเป็นธารน้ำแข็งเปอริโต้ โมเรโน อย่างที่เห็นในปัจจุบัน ในอนาคตยิ่งโลกร้อนขึ้น ธารน้ำแข็งจะยิ่งละลาย ทำให้น้ำท่วม และอีกหลายๆ อย่างที่โดนผลกระทบจากโลกร้อน (ฟังแล้วก็หดหู่ยังไงไม่รู้ พวกเราหันมาช่วยกันลดพฤติกรรมต่างๆ ที่ทำให้โลกร้อนก็ดีนะฮะ)
ข้อมูลทั่วไป - อุทยานแห่งชาติลอส กลาเซียเรส (Los Glaciares National Park) ถูกประกาศให้เป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก (Unesco) ในปี 1981 และเป็นอุทยานแห่งชาติในปี 1937 - พื้นที่ส่วนใหญ่มักถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ภายในอุทยานประกอบไปด้วยพื้นที่ที่มีความงามตามธรรมชาติมากมาย ไม่ว่าจะเป็นภูเขาที่ขรุขระสูงเสียดฟ้า และทะเลสาบน้ำแข็งจำนวนมาก - รวมทั้งทะเลสาบอาร์เจนติโน (Lake Argentino) มีความยาว 160 เมตร ที่ปลายสุดของทะเลสาบมีธารน้ำแข็ง 3 สายไหลมาบรรจบกัน
- การท่องเที่ยวในพื้นที่อุทยานมีหลายแบบ ได้แก่ เดินตามทางระเบียงไม้ นั่งเรือ และ เดินบนธารน้ำแข็ง มีทั้งแบบ Mini Trek (1 ชม) และ Big Ice Tour (3.5 ชม) ขึ้นอยู่กับสมรรถภาพร่างกาย ใครสนใจก็ตามลิ้งเลยฮะ https://www.argentina4u.com/es/mini-trekking-glaciar-perito-moreno.html#.Xw3eqCgzY2w
ก่อนเข้าอุทยานฯ ต้องจ่ายค่าเข้าคนละ 800 เปโซ มีจอดแวะให้เข้าห้องน้ำและลงไปถ่ายรูปที่จุดชมวิวแรก บอกเลยว่าแค่จุดแรกก็หนาวเหมือนทางเข้าปราสาทเอลซ่า (และพวกเราไม่ได้คิดว่าจะหนาวขนาดนี้ จึงแต่งตัวชิลมาก) ขึ้นรถนั่งต่อไปซักพัก ก็ถึงทางเข้า Glaciar Perito Moreno โดยไกด์แจ้งเวลาทุกคนให้เวลาเดินรอบอุทยานประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วมาเจอจุดจอดรถเดิมเพื่อไปล่องเรือกัน (แต่ถ้าใครไม่ไปล่องเรือ ก็เดินตามสบาย มาเจอกันอีกทีเย็นๆ ได้เลย)
ตอนที่เดินเข้าไปเห็นธารน้ำแข็ง เหมือนกำแพงสีฟ้าไกลโพ้น รู้สึกตื่นเต้นขนลุกมาก (เพราะหนาว) ในช่วงที่เรามาถึงทางเข้าอุทยานก็เกือบเที่ยงแล้ว ก็ชั่งใจว่าควรนั่งกินข้าวก่อนหรือว่าเดินก่อน แต่คิดว่าเดินดูรอบๆ ก่อนดีกว่า (ต้องวางแผนเดินดีๆ ไม่อย่างนั้นอาจจะเดินกล้บมาขึ้นรถไม่ทัน)
เส้นทางมีให้ไปหลายระดับ ขึ้นอยู่กับความอึดและความเร็ว เราเลือกเดินวนซ้ายก่อน
เส้นทางสีต่างๆ - สีเขียว เส้นทางธรรมาชาติ ชมนก ชมไม้ เห็นธารน้ำแข็งลิบๆ สำหรับคนแก่มาถึงแล้วแต่เดินไม่ไหว - สีแดง เส้นทางไกลโพ้นทะเล ที่เห็นอีกฟากฝั่งของธารน้ำแข็ง ไม่ค่อยมีใครเดินมาบริเวณนี้ เพราะทางลาดและไกล - สีส้ม เป็นทางบรรจบกับสีเขียวและสีแดง ทางนี้จะเป็นวิวด้านหน้าชัดเจน มีจุดแวะพักให้ชมธารน้ำแข็งร่วงหล่นลงตามมาบุญกรรมที่ทำมา หลายจุด - สีฟ้า เป็นทางสุดขอบธารน้ำแข็ง เหนื่อยหอบกำลังพอดี และเป็นทางที่เดินไปถึงทางออกและร้านอาหารต่างๆ ถ้าเดินไม่ถึงก็อย่าฝืน สามารถเดินย้อนกลับไปทางสีส้มได้
ระหว่างทางจะมีตำรวจท่องเที่ยวเป็นทั้งคนบอกทาง และ ดูแลความสะอาดของบริเวณ ถ้าเห็นนักท่องเที่ยวคนไหนทิ้งขยะจะเดินเข้าไปจัดการทันที
เดินมาได้พักใหญ่ ก็หาที่นั่งกินอาหารที่พกจากไทยไป (อาหารซองพร้อมทาน กินพร้อมกับขนมปัง อร่อยมากกก) บริเวณจุดชมวิว ถือว่าเป็นอาหารมื้อวิเศษที่ราคาอาหารหลักร้อยกับวิวหลักล้าน และลมหนาว 1 องศา โคตรฟิน
เดินจนใกล้ถึงเวลานัด เราเดินออกมารอขึ้นรถเพื่อไปจุดล่องเรือชมธารน้ำแข็งใกล้ๆ ออกรถมาสักพัก ก็ถึงท่าเรือ Puerto Bajo las Sombras การล่องเรือชมธารน้ำแข็งเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่รวมอยู่ในทัวร์ ถ้าโชคดีหน่อยก็จะเห็นก้อนน้ำแข็งแตกร่วงกราว แบบนี้
การเดินทางวันนี้ ตั้งแต่ทัวร์มารับจนถึงกลับมาโรงแรม ใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง เรารีบแพ็คกระเป๋าเล็กเอาของเท่าที่จำเป็นไป ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม แล้วเดินไปท่ารถ Terminal de Omnibus El Calafate ใช้เวลาเดินตามที่กะเวลาไว้ รอรถมาตอนเย็น
เราจองรถบัส Chalten bus ไว้ล่วงหน้าแบบไปกลับ ราคาคนละ 2800 AR$ แต่ถ้าใครอยากตื่นเต้นก็สามารถมาซื้อรถทัวร์ที่สถานีได้ มีหลายบริษัท ซึ่งเวลาเดินทางมีเพียง 3 รอบต่อวัน คือ รอบ 08.00 น. , 13.30 น. และ 18.00 น. และรถจะออกตรงเวลา ให้ไปถึงก่อนเวลาครึ่ง ชม ดีสุด ซึ่งระยะเดินทางไป Patagonia, El Chaltén ประมาณ 3-4 ช.ม. โดยประมาณ
เราเดินทางมาถึงที่ Terminal de Omnibus El Chaltén ประมาณ 21.00 น. (ยังสว่างอยู่) ที่สถานีมีที่ฝากกระเป๋า และ ATM เพียงแค่จุดเดียว หลังจากหยิบกระเป๋าเดินออกมาจากสถานีเรียบร้อย เราเพิ่งสังเกตว่าไม่มีเน็ต และในมือมีเพียงกระดาษปริ้นท์แผนที่ทางไปโรงแรมแค่แผ่นเดียว ยิ้มแห้งและดึงแต้มบุญออกมาใช้รัวๆ
เดินงงและหลงทางไปสักพัก ก็เจอที่พักเป็นบ้านพักซึ่งเป็นเหมือนกับ hostel ขนาดปานกลางดูดีและราคาไม่แพง ซึ่งตามแนวถนนมีบ้านพักทุกตรอกซอกซอย หากใครพลาดการจองออนไลน์ก็สามารถมาเดินลุ้นๆ หาที่พักเอาได้
หลังจากที่เช็คอินที่พักเรียบร้อย ก็เดินออกมาถ่ายรูปที่ระลึกตรงทางเข้า ตอนที่ถ่ายรูปคือ 21.30 น. โดยประมาณแต่ฟ้ายังสว่างอยู่และลมแรงมาก
ใช้เวลาระยะนึง ก็หาที่กินข้าว เราเดินไปหลายๆ ร้านอาหารคือที่เต็มทุกร้าน ตอนนั้นหิวหน้ามืดแล้วจึงเดินไปร้านเล็กๆ ปรากฏว่าอาหารดีทีเดียว
เป้าหมายวันพรุ่งนี้ของเราคือ เดิน Monte Fitz Roy ทั้งวัน ก่อนขึ้นนอนได้มีโอกาสคุยกับเจ้าของ hostel เค้าบอกว่า วันพรุ่งนี้ฝนตกทั้งวัน อาจจะไม่ได้ไปนะ เพราะระบบพยากรณ์อากาศของเราเค้าค่อนข้างแม่น เราก้อใจหวิวละถ้าไม่ได้ขึ้น คือ เสียเที่ยวเลยนะ มีเวลาแค่ 2 วัน 1 คืน และเราซื้อทัวร์เรียบร้อย คุณเจ้าของเห็นหน้าเราวิตกเล็กน้อยก็เลยพูดขึ้นมาว่า แต่ไม่แทนอากาศที่นี่แปรปรวนมาก (รู้แหละพูดให้สบายใจ) คืนนี้ก่อนหลับก็ภาวนาให้พรุ่งนี้อากาศดี ได้เดินเขาอยากสบายใจ
แนะนำ - เว็บเช็คอากาศที่ค่อนข้างแม่นยำ ดูที่ https://elchalten.com/v4/en/the-weather-in-el-chalten.php ในเว็บนี้ รวมทั้งจองที่พัก จองรถ จองทัวร์ และ ช่วยแนะนำเส้นทางเดินเขาด้วย - ก่อนเดินทางของให้เตรียมแฟชั่นเดินเขาไปให้พร้อม นั่นคือ เสื้อหนาว เสื้อกันฝน (ถ้าให้ดีก็ลงทุนซื้อเสื้อกันหนาวที่กันฝนได้ด้วย สองสามชั้นตามกำลังทรัพย์ที่มี) อาหาร น้ำดื่ม รองเท้าเดินเขาดีๆ ผ้าคลุมกันฝน หมวกปีกกว้าง แว่นตากันแดด เสื้อแขนยาว - สำหรับนักเดินเขามือใหม่ ควรจ้างไกด์นำทาง (คนละ $170) จะดีกว่าการเดินขึ้นไปเอง เพราะอาจหลงทางได้ ถ้าใครเดินเปรี้ยวมากอาจหลงไปเฝ้าภูเขาน้ำแข็งด้านในก็เป็นได้ - หากว่าอยากนอนกางเต็นท์ในหุบเขา ด้านในเค้ามีจุดนอนกางเต็นท์ ก็เพิ่มอารมณ์คนนอนกลางเขาได้บรรยากาศไปอีกแบบ แต่ถ้าฝนตกก็ขอให้โชคดีในค่ำคืนที่หนาวเหน็บและเปียกชื้น - ก่อนมาควรฟิตร่างกายให้พร้อมกับการเดินทางไกล เราเจอคนที่ไม่ได้เตรียมตัวมายืนทิ้งตัว หายใจไม่ทันตั้งแต่ตีนเขา เสียดายแทน
Day 10 in Patagonia, Argentina
ตื่นเช้าตรู่มาเตรียมตัว เช้านี้ฝนตกปรอยๆ โล่งใจว่าเดินขึ้นเขาอากาศดีชัวร์ ทัวร์มารับตอน 8 โมงเช้า อากาศยังขมุกขมัวไปเรื่อยๆ (อากาศไม่แน่นอนจริงๆ) แต่ทัวร์แจ้งว่าไม่ยกเลิกแน่นอน ทัวร์พาเราไปถึงปากทางเดินเขา ตอน 8.30 น. ตรงจุดนี้ไกด์อธิบายว่า เนื่องจากวันนี้อากาศไม่ค่อยดี ดังนั้น เราจะไปอีกทางที่จะลัดเลาะไปดูความน่าจะเป็นว่าเข้าไปได้ลึกสุดขนาดไหน และในระหว่างนั้นฝนตกหนักตลอดทาง สภาพพวกเราคือไม่ได้เตรียมพร้อมรับฝนตกหนัก รวมถึงที่อากาศหนาวมากกกกกกกกกก
จากทางเข้าเดินไปถึงจุดตั้งแคมป์ ไกด์บอกว่าจากตรงนี้เดินไปต่อไม่ได้แล้ว เพราะว่าฝนไม่มีทีท่าจะเบาลงเลย ไกด์จึงพาเดินกลับไปเพื่อไปพักที่ Laguna Capi ระหว่างทางกลับ ไกด์บอกว่าถึงเราจะดันทุรังไปที่ Monte Fitz Roy แต่จะไม่เห็นอะไรอยู่ดี (แอบเสียใจระหว่างทางกลับ เปียกฝนเละเทะแถมไม่เห็นอะไรเลย 😢)
เดินไปเรื่อยๆ จนใกล้ถึงทางขึ้นเขาอีกทาง อยู่ดีๆ แดดเปรี้ยงเลย
จุดนี้เป็นอีกทางที่เดินเข้าไป Mt.Fitz Roy ได้
เมื่อพวกเราทุกคนเดินถึงทางออกแล้ว ก็บอกลาทุกคนที่ร่วมเดินทัวร์กันมา ด้วยความที่ยังไม่อยากกลับที่พัก เลยลองเดินไปดูน้ำตกแทน จากจุดทางออกเดินไป 1 ช.ม. ถึงน้ำตก Chorrillo del Salto
เราใช้เวลานั่งพักผ่อนแถวนี้ 1 ชม ก่อนที่จะเดินกลับ ซึ่งในระหว่างทางกลับก็มาเจอตรงตีนเขาทางขึ้นเขา Fitz Roy อีกรอบ หันไปมองหน้าเพื่อนก่อนที่จะตัดสินใจเดินขึ้นไปจุดชมวิว (ให้ได้) ยืนคำนวณเวลาและความเร็วในการเดิน ซึ่งเรารู้สึกตัดสินใจถูกที่ขึ้นไป ระยะทางเดินรวมวันนี้ 30++ กิโลเมตร แต่คุ้มมากกกกก 🎉
และใช่ฮะ ขอทิ้งท้ายด้วยวิวที่ใช้เงินซื้อไม่ได้ ตระหง่านอยู่ตรงหน้า ตราตรึงอยู่ในความทรงจำ Pink Rose Mt. Fitz Roy
หลังจากดูวิวจนอิ่มแล้ว เราลงมาถึงตีนเขา รีบเดินไปถ่ายเก็บภาพบรรยากาศตอนค่ำ ก่อนกินข้าว เสร็จแล้วกลับไปแพ็คกระเป๋าเตรียมตัวกลับ El Calafate คืนนี้นอนหลับเหมือนซ้อมตายอีกเช่นเคย (อ่านข้อมูลทั่วไปของ Mt. Fitz Roy ด้านล่างฮะ)
Day 11 Patagonia->El Calafate->Buenos Aires, Argentina
ตื่นเช้ามารีบแพ็คกระเป๋า เดินไปสถานีจอดรถ
ระหว่างทางมีแวะให้ถ่ายรูปและซื้อของที่ระลึก
กลับถึง El Calafate ต้องขึ้นรถต่อเครื่องบินเหมาแท็กซี่ วุ่นวายมากทีเดียว รอรถรับส่งสนามบินมารับตอน 15.00 น. และช่วงระทึกก็มาถึง รถไม่มารับ ติดต่อใครไม่ได้ เลยเวลานัดไป 1 ชั่วโมงใจชักเริ่มไม่ดี เพราะไฟล์ทบินตอน 18.05 น. กว่าจะถึงสนามบินเล่นเอาวิตกใจสั่นระรัวกลัวตกเครื่อง (ถ้าตกเครื่องจริงแต้มบุญมีก็เบิกมาใช้ไม่ได้แน่นอน)
อ่านต่อตอน 3
ข้อมูลทั่วไป Mt. Fitz Roy ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติ Los Glaciares ประเทศอาร์เจนตินา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปาตาโกเนีย (Patagonia) ได้ชื่อว่าเป็นภูเขาที่อันตรายและเส้นทางเดินเขาที่สวยงามที่สุดในปาตาโกเนีย
จากบันทึกการเดินทาง ชาวยุโรปคนแรกที่พบเห็นภูเขาฟิตซ์รอยในปี 1783 เป็นนักสำรวจชาวสเปนชื่อ Antonio de Viedma ต่อมานักสำรวจชาวอาร์เจนตินาชื่อ Francisco Moreno พบเห็นภูเขานี้อีกครั้งในปี 1877 โดยเขาตั้งชื่อภูเขาว่า ฟิตซ์รอย เพื่อเป็นเกียรติแก่ Robert FitzRoy กัปตันเรือ HMS Beagle ซึ่งล่องเรือพาชาลส์ ดาร์วินมายังแม่น้ำซานตาครูซในปี 1834
ถ้ามองจากหมู่บ้าน Elton จะเห็นภูเขาฟิตซ์รอยได้ แต่ถ้าอยากมาชมความงามใกล้ๆจะต้องเดินเท้าเท่านั้น โดยมีหลายเส้นทางรอบภูเขาให้เลือกเดิน มีทั้งเดินวันเดียวและตั้งแคมป์ข้างบน หากมีเวลาสามารถใช้สำรวจพื้นที่รอบๆ ภูเขา จะเจอทะเลสาบหลายแห่ง ธารน้ำแข็ง และภาพวิวที่มีภูเขาฟิตซ์รอยเป็นพื้นหลัง
Content credit: https://www.welcomeargentina.com/elchalten/mount-fitz-roy.html
Comentarios