top of page

เยือนบ้านอีต่อง เหมืองปิล็อก...ปลายขอบชายแดน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี



บทนำ : ทริปนี้ไปเดินทางและวางแผนตลอดรายการคนเดียว เนื่องจากเกิดเหตุขัดข้องที่ชุมสายปลายทาง ... จบ

ก่อนเดินทางควรหาข้อมูลเบื้องต้นนะฮะ ทั้งที่พัก และสถานที่ท่องเที่ยว เพราะสถานที่ต่างๆ อยู่ห่างไกลกัน และประกอบด้วยเส้นทางหฤโหด คดเคี้ยวเลี้ยวลด ทั้งขึ้นและลงทางลาดชัดตลอดเส้นทาง .. ขับรถไม่แข็งขอให้พักก่อนฮะ


ดูแผนที่การเดินทางให้เรียบร้อยนะ

เราเริ่มต้นจากการจองที่พัก เราหาข้อมูลจากในเน็ตพบว่า “ครัวสุดแดน- บ้านตอไม้” น่าสนใจ และได้มีโอกาสคุยกับป้าตุ๋ย เจ้าของที่พัก ... ใจดีมากฮะ บอกเลย ... จองไปสองคืน คืนละ 600 บาท เท่านั้น


หลังจากนั้นก้อหาแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ดูจากแผนที่แล้ว นึกว่าจะใกล้ๆ กัน ... เปล่าเลย ... แต่ละจุดท่องเที่ยวห่างไกล และเดินทางเข้าป่าลึกๆ ทีเดียว


จองที่พักแล้ว วางแผนเดินทางแล้ว แพ็คกระเป๋าแล้ว พร้อมเดินทางฮะ ...


04.30 น. ตรงไปที่รถตู้หน้า รพ.ราชวิถี ซื้อตั๋ว กรุงเทพฯ - กาญฯ 120 บาท ขึ้นรอบแรกตี 5 (โดนหลอกว่ารถรอบแรกออกตี 5 ที่ไหนได้ กว่าจะออกรถก้อ 05.45 น. เวลาเปลี่ยน แผนพลิกทันที)



08.00 น. เมื่อถึงกาญฯ แล้ว เดินงงๆ หาทางขึ้นรถตู้ไปทองผาภูมิต่อ (รถตู้ออกทุกๆ 20 นาที) ... ตรง บขส.กาญฯ มีป้ายสีแดงใหญ่มาก เขียนทองผาภูมิ .. ตรงเข้าไปซื้อตั๋ว กาญฯ - ทองผาภูมิ 115 บาท และหลับตานอนให้สบาย


ตรงที่รถตู้จอดปลายทาง จะไม่ใช่ท่ารถสองแถว ให้นั่งมอไซ ไปท่ารถสองแถว (15 บาท) พอถึง จะเห็นรถสองแถวสีเหลือง เขียนว่า ทองผาภูมิ - อีต่อง ก้อไปยืนยิ้มหาที่นั่งพักรอขึ้นรถ (รถออกรอบเดียว คือ 10.30 น. อาจจะก่อนหลังนิดหน่อย) หากว่าไปถึงก่อนเวลารถออก ก็เดินไปท้ายตลาด ลงเนินไปนิดนึง จะเห็นวิวแม่น้ำสวยสดงดงาม

เดินไปท้ายตลาด จะเจอแม่น้ำสดใสแห่งนี้ น่าจะมีแต่ชาวบ้านที่รู้นะเนี่ย

10.30 น. เดินกลับมารอรถสองแถว ทำให้ให้สบาย (ถ้าเป็นไปได้ ควรไปแย่งชิงนั่งเบาะหน้าซะ) ... สิ่งที่เห็นนี่ เป็นเหตุการณ์ (สู้รบเบาๆ) หาที่นั่งที่เหมาะสม ... รถจะไม่โล่งไปกว่านี้แน่นอน เพราะว่ามีรถขาขึ้นแค่เที่ยวเดียวต่อวัน ระยะทางจากทองผาภูมิไปบ้านอีต่อง ประมาณ 70 ก.ม. ใช้เวลาประมาณ 2 ช.ม. ++ (ขึ้นอยู่กับความชำนาญการขับรถ) ระหว่างทางก็นั่งกินลม (แรง) ชมวิว (หน้าผา) ข้างทาง... หรือจะสนใจทางคดเคี้ยวให้เสียวเล่นก็ดีไม่น้อย




การแย่งชิงพื้นที่บนรถนี้ น่ากัวมาก

14.30 น. ถึงล้าาาว ... ตรงเข้าที่พักอันดับแรก พร้อมถามป้าว่า มี-ปู-มั้ย ... เข้าที่พักเรียบร้อย กินข้าวเรียบร้อย แอบถามป้าว่ามีที่เที่ยวไหนบ้างที่เดินเท้าได้บ้าง เพราะว่า มาคนเดียว ไม่ได้ขับรถ และไม่รู้ทาง ป้าก้อใจดี อธิบายใหญ่เลย .. (อยากบอกป้าว่า ที่บอกมาเมื่อกี้ ไม่รู้หรอกว่าไปทางไหน กะว่าเดินๆ ถามคนข้างหน้า) ด้วยความที่ทำหน้ายิ้ม (ปนงง) ป้าจึงหาทางออกให้ยืมมอไซของลูกจ้างที่ร้านขี่ไปเอง แล้วก้อชี้ๆ “ไปทางนี้นู๋” ป้ากล่าว แล้วก้อให้ลูกน้องเอามอไซมาให้








ขี่มอไซ ขึ้นเนินสูง (ครั้งแรก) สถานที่แรกที่ไป คือ เขตแดนระหว่างไทย-พม่า (มีทหารพม่าเฝ้าด้วย) ชื่อว่า เนินเสาธง เมื่อก่อนพม่าเคยเข้ายึดเพื่อใช้เป็นฐานที่มั่น กวาดล้างชาวกระเหรี่ยง ทางการไทยจึงขึ้มาตั้งเสาธงใหม่ให้ชัดเจน

ต่อด้วย ช่องน้ำแบ่งประเทศไทย-พม่า เดินเข้ามาไม่มีอะไร ขอให้พี่ ตชด. เดินไปเป็นเพื่อน ... กัว (ไม่กล้าถ่ายรูปคู่ กัวตรีนฮะ)

หลังจากนั้นก็แวะไปวัดเหมืองปิล็อก กราบไหว้เอาฤกษ์ เอาชัยก่อนฮะ

จบจากไหว้พระ นั่งคิดแพร๊บนึง ว่าไปน้ำตกหายโศกก่อนแล้วค่อยขึ้นเนินช้างศึกไปดูพระอาทิตย์ตก (ไม่มีความคิดเรื่องเส้นทางการขี่มอไซเลย) พอขับออกจากหมู่บ้าน ลาดชันขึ้น-ลง เลี้ยวซ้ายหักศอก เลี้ยวขวาหักศอก ทุกๆ โค้งมักเจอศาลเพียงตา ชักเสียว... ไม่แน่ใจว่าขี่ไปได้ไกลขนาดไหน สุดท้ายวกรถกลับไปเนินช้างศึกเลยดีกว่า








ขี่เข้ามาทางเนินช้างศึกแล้ว มองทางไปไกลๆ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร (ไม่คิดว่าจะต้องขี่ขึ้นเขา) ... ขี่ลึกเข้าไปๆ ชักหวั่นใจเส้นทางที่ต้องขี่มอไซขั้นแอดวานซ์ ถึงจะเข้าใจได้ว่า ต้องใช้เกียร์ต่ำๆ ไต่เขาขึ้นไป (ใครจะไปรู้ !?) ... หลังจากพยายามบิดมอไซให้ไต่ขึ้นเขา ด้วยเกียร์สาม ... ขึ้นมาได้ครึ่งนึง มันไม่ขึ้นแล้วอ่ะ (ทำงัยดีแว๊ !!!!) หันกลับไปมอง ก้อเป็นทางชันมากๆ ถ้าปล่อยเบรคมีหวังช้านคว่ำไม่เป็นท่าแน่ๆ ... เลยลองค่อยๆ ไต่ๆ เอาขาถีบๆ มือก็บิดๆ มอไซขึ้นไป (ฮึบๆ) ... ในที่สุด ก้อถึงยอดเนินช้างศึก (หอบแฮ่กๆ สิบที) ซึ่งคุ้มกับที่ฟันฝ่าขึ้นมาได้










วิวบนนี้ งดงาม มองเห็นบ้านเรือนด้านล่าง เห็นเนินช้างเผือก เห็นภูเขาไกลโพ้น และที่สำคัญอากาศดีฮะ มาเยือนเดือนพฤศจิกายน ฝนไม่ตก ลมหน้าโชยผ่านผิวหน้าพร้อมอากาศกลิ่นเมฆ ... เกินคำบรรยายจริงๆ



หลังจากดูพระอาทิตย์ตกแล้ว ก้อรีบบึ่งลงจากเนินช้างศึก มุ่งหน้ากลับบ้านอีต่องอย่างรวดเร็ว เพราะบอกป้าอยากกินปูพม่า ... ถึงที่พัก ล้างมือ ล้างหน้าเรียบร้อย ตรงปรี่เข้าไปสั่งๆ ... เนื่องจากมาคนเดียว ก้อไม่ควรกินเยอะเนอะ อ้วนเนอะ ... จึงได้สั่งมาเพียงเท่านี้


แทะไปสิฮะ ปู 5 ตัว รออะไร ... ราคาอาหารค่ำชุดนี้ 350 บาทถ้วน (ปูครึ่งโล 200 บาท โป๊ะแตก 120 บาท ข้าว 10 บาท น้ำ 20 บาท) อิ่มครบถ้วน กลับห้องนอนตีพุงสลบเหมือด เตรียมตัวเที่ยวตอนเช้าวันพรุ่งนี้




วันรุ่งขึ้น เผอิญโชคดีได้รู้จักน้องๆ ระหว่างเดินทาง ชวนไปเหมืองแร่สมศักดิ์ (ซึ่งไม่ได้อยู่ในแผนที่วางไว้ แต่ไปก้อด๊ะ) หลังจากขึ้นรถโฟร์วีลมุ่งหน้าสู่เหมืองฯ ไม่คิดว่า เส้นทางจะหฤโหดสาหัสมากๆ ทั้งทางขึ้นลาดชัน ทางลงลาดชัน เลี้ยวหักศอกอีก 2000 โค้ง กับถนนหินทราย ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงกระแทกกระทั้น เด้งซ้ายและขวาไปพร้อมกัน กว่าจะถึงด้านในเหมือง (ไม่มีรูปเลยตอนนี้ สองมือจับราวเหล็ก สองเท้าจิกพื้น กลัวกระดอนออกนอกรถกระบะ)




จุดพีคของที่นี่ คือ การเจอป้าเกล็น มีประวัติคร่าวๆ ดังนี้

ป้าเกล็น ตอนนี้อายุประมาณ 75 ปี เป็นชาวออสเตรเลีย ย้ายตามคุณลุงสมศักดิ์ เจ้าของสัมปทานเหมืองดีบุก ชื่อเหมืองสมศักดิ์ ซึ่งป้ามาอยู่ที่เมืองไทยหลายสิบปีแล้ว เมื่อก่อนคุณป้าสอนที่ ม. กรุงเทพฯ นาน ๆ ทีถึงจะแวะมาเหมือง จนเมื่อเกือบ 30 ปีก่อน ธุรกิจเหมืองแร่ดีบุกเริ่มเข้าสู่ยุคตกต่ำ และคุณลุงเริ่มป่วย คุณป้าจึงตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย และมาอยู่กับคุณลุงในช่วง 5 ปีสุดท้ายที่เหมือง และเฝ้าคุณลุงที่โรงพยาบาลถึง 10 เดือน ก่อนคุณลุงจะไปขึ้นสวรรค์



เมื่อมาถึง ป้าเกล็นมีแขกมาเยี่ยมเยือนมากมาย ทุกคนเดินไปมา ซึ่งบ้านของป้าเกล็นที่อยู่ขณะนี้เป็น Store ของเหมืองเก่า มีพื้นที่กว้างใหญ่พร้อมด้วยรูปแขวนประกอบ อธิบายถึงเรื่องราวในอดีตมากมาย



หลังจากนั้นได้เดินเยี่ยมชมบรรยากาศโดยรอบ รู้สึกว่าจะมี home stay หลังใหญ่ที่นี่เหมือนกัน เงียบสงบมาาาาาาาก ถ้าใครชอบบรรยากาศในป่าเขาลำเนาไพร่เสียงลำธารไหลเอื่อยๆ ... ควรมาพักที่นี่ซักคืนนึง ทานเค้กป้าเกร็น อาหารเลิศรส (อยู่ในแพ็คเกจอยู่แล้ว)




ออกมาจากบริเวณเหมือง ขับรถออกมา วิ่งตรงไปทางเหนือจะเจอวัด (ชื่ออะไรไม่รู้ภาษาพม่า) เดินไปดูบรรยากาศ สัมผัสได้ถึงความร่มรื่นชริงๆ .. ใช้เวลากับตรงนี้ไม่นานเพราะไม่มีอะไรเลย นอกจากวัดกับป่า



... สถานที่ต่อไปคือน้ำตกจ๊อกกระดิ่น ... ค่าเข้าน้ำตก 40 บาทต่อคนฮะ แต่ถ้าไปเที่ยววันธรรมดาจะเหลือ 20 บาท เท่านั้น (โปรโมชั่นการท่องเที่ยวสุดๆ)

ภาพตรงหน้าช่างสวยเกินบรรยาย ทั้งบรรยากาศ วิวทิวทัศน์ รอบๆ ตัวยังคงความเป็นธรรมชาติดั้งเดิม




ใช้เวลาชื่นชมไม่นานเพราะไม่ได้เอาชุดไปเผื่อเล่นน้ำด้วย ก่อนกลับคุณลุงใจดี ขับรถพาไปดูเหมืองใต้ดินชื่ออุโมงเหมืองแร่ ซึ่งเป็นเหมืองที่เกิดจากการระเบิดเพื่อเข้าไปขุดแร่จากในภูเขา พอมองไปรอบๆ ก็จะมีอุโมงเล็กๆ เต็มไปหมด (ดูน่ากัว เหมือนจะมีอะไรโผล่ออกมาได้)




ซึ่งคุณลุงก็ให้อุปกรณ์กันภัยมาให้ใส่กันคนละชุด และพาทัวร์เดินเข้าไปในอุโมงข้างใน เข้าไปถ่ายรูปหนึ่งแชะ แล้วรีบเดินออกมาเพราะรู้สึกเหมือนจะอากาศน้อยมากๆ อึดอัดน่าดู แต่ถ้ามีโอกาสควรเข้าไปดูเป็นบุญตา (ยังโชคดีที่มีน้องที่เพิ่งรู้จักไปด้วยกัน ไม่งั้นคงไม่กล้าเสี่ยงไปคนเดียวแน่ๆ)



เสร็จแล้วก้อเดินกลับมาขึ้นรถกลับบ้านอีต่อง นั่งชิล เดินรอบๆ







แล้วก็แวะขึ้นไปที่เนินช้างศึกดูพระอาทิตย์ตกอีกรอบ



ข้าวเย็นวันนี้ ดูสนุกเป็นพิเศษเพราะเป็นคืนวันเสาร์ คนมาเที่ยวเยอะมากๆ เราสั่งปูครึ่งโลเหมือนเดิม ... ในระหว่างที่แทะปูอย่างไร้สติ ไฟก็ดับทั้งหมู่บ้าน ... เป็นประสบการณ์ที่แปลกและดีเหมือนกัน คือ เปิดไฟฉายมือถือ แกะปู ท่ามกลางเพื่อนใหม่ๆ (ครอบครัวใหญ่นั่งโต๊ะเดียวกัน) พูดคุยเรื่องทั่วไป กว่าไฟจะมา ก็กินปูเรียบร้อย


ได้ยินว่าที่วัดปิล็อกจะมีงานกฐิน เลยขี่มอไซต์ขึ้นไป (มืดๆ) จอดข้างทาง แล้วถามเด็กพม่าแถวนั้นว่างานวัดจัดตรงไหน เพราะได้ยินแต่เสียง หาทางไปไม่เจอ ... เด็กชี้ขึ้นไปทางขึ้นวัดจากด้านหลัง เราก้อเดินขึ้นไปด้วยความไม่รู้ ... ทางเปลี่ยวมาาาาาก วังเวงมาาาาก เพราะทุกคนไปเข้าทางหน้าวัดหมด ... พอเดินขึ้นไปตามต้นเสียงแล้ว (ได้ยินว่าจะมีการซ้อมเต้นพม่า) จึงเดินไปดู แต่เอ๊ะ ... ดูไป ดูมา



ชักจะไม่ใช่การเต้นแล้วล่ะ ค่อนไปทางมีคนเข้าทรงด้วยแฮะ ...



ยืนดูอยู่ให้แน่ใจอยู่แป้บนึง จึงเดินกลับมาทาง (เปลี่ยวๆ) เดิม และขี่มอไซต์กลับบ้านพัก ก่อนเข้าห้องก็เดินไปคืนกุญแจของน้องที่ร้านพร้อมสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่ให้ยืมมอไซต์ คืนนี้ต้องรีบนอนเพราะพรุ่งนี้เช้าต้องตื่นก่อน 7 โมงเช้า เพื่อขึ้นรถสองแถวให้ทันไปทองผาภูมิ ซึ่งมีเพียง 2 รอบต่อวันเท่านั้น คือ 6 โมงเช้าและ 7 โมงเช้า (รถสองแถวจะบีบแตรให้สัญญาณก่อนจะออกจากหมู่บ้าน)



วันที่สาม ตื่นมายิ้มตอน 07.00 น. เดินไปลาป้าตุ๋ย และ หมาอ้วน ก่อนขึ้นรถออกจากหมู่บ้าน


10.00 น. ถึงคิวรถตู้ทองผาภูมิ - กาญฯ รีบวิ่งเข้าไปซื้อตั๋วอย่างไว


11.30 น. ถึงคิวรถตู้ กาญฯ - กรุงเทพฯ ... จิงๆ ควรรอให้ได้นั่งตรงที่ดีๆ แล้วค่อยขึ้นดีกว่าขึ้นไปนั่งบริเวณปวดหลัง (ดูภาพประกอบพื้นที่นั่งดีที่สุดของรถตู้ฮะ)




15.00 น. ถึงกรุงเทพฯ อย่างปลอดภัย กลับบ้านนอนหลับปุ๋ย

ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ฮะ หวังว่าข้อมูลต่างๆ จะช่วยให้นักเดินทางบุกเดี่ยวทั้งหลายได้ประโยชน์


บันทึกการเดินทาง วันที่ 30/11/2015

ปิ๊กมี่ หลงไปไหน


ขอบคุณ ครัวสุดแดน/บ้านตอไม้ ปิล๊อก ให้การดูแลเป็นอย่างดีครับ

Comments


bottom of page